Saturday, August 2, 2014

วาบความคิด จากชาวพุทธคนหนึ่ง

สวัสดีครับ

     วาบความคิด: ความทุกข์จากการเจ็บป่วย ทุกข์จากการขาดแคลน ทุกข์จากสิ่งต่างๆ หากไปพบพานมาก่อนในวัยเด็ก ยังหนุ่มๆ ย่อมมีประโยชน์ ในแง่ พออายุมากขึ้นทุกครั้งที่สุขใจ จะคิดได้ว่า เออ ตอนนั้นเราไม่เคยมีภาพความสุขแบบนี้ในหัวเลยด้วยซ้ำ ให้เห็นเป็นข้อธรรม แบบนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความแกร่ง ความเข้มแข็ง อะไร เพราะ ความทุกข์ เป็นกี่ครั้งก็ไม่ได้ทำให้กล้ามขึ้น จริงไหม สำหรับความแกร่งทางใจนั่นมาจาก การถือศีล การลด ละเลิก อบายมุข การบำเพ็ญเพียรต่างหาก สำหรับผมนะ พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คนที่เสียสละให้สังคม คนที่อุทิศตนในโลก นี่คือคนแกร่ง ของจริงครับ เพราะการลด ละ เลิก ความสุขตน นี่ล่ะ แกร่งของจริง ไม่ใช่ผ่านทุกข์อะไรมา เพราะทุกข์น่ะ มีเป็นร้อยพัน เจอทุกข์ที่คุณทนได้ อาจจะ ผ่านได้ แต่เจอทุกข์ที่คุณทนไม่ได้ คุณก็หน้าใหม่เหมือนกันน่ั่นล่ะ ดังนั้น คนที่ละความสุขของตนได้ ต่างหาก คือคนแกร่งจริง ซึ่งผมว่าเรียนรู้ไปทางนี้ดีกว่าครับ :0)

สวัสดีครับ

คุณบอลล์ :0)

Tuesday, July 8, 2014

หวนกลับจำ ส่ิ่งดีๆ ที่กลับคืน

สวัสดีครับ

   เรื่องมีอยู่ว่า สมัยผมเป็นวัยรุ่น เลือดลมเดินแรง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในคณะที่ใช้เหตุผล การทดสอบ ทดลอง ให้ปรากฎจริง คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้ บุคลิกวิธีคิดก็เป็นไปแบบนั้น แต่ด้วยการเป็นนักกิจกรรม ทำให้ ทำกิจกรรมเล่น มากกว่าเรียน ทำให้เรียนกันหลายปี จนเริ่มท้อ

    ปัญหาจากการเข้าสังคม ในการทำกิจกรรมระหว่างเรียน ก็พบว่า เราไม่ถูกใจ คนมากมาย เพราะว่าไปคนเราดำเนินชีวิต ตามที่เขาชอบ มากกว่าจะแคร์คนอื่นๆ พบเรื่องไม่มีเหตุผล มากๆ ก็เครียด เริ่มไม่ชอบคนมากขึ้น  แต่รู้ตัวว่า มันไม่ใช่เรื่องดี

    กิจกรรมทำมาก ก็ได้ทักษะการอยู่กับคนมากขึ้น แต่ดูแล้วมันเหมือนไม่จริงใจ ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ปัญหามาอยู่ที่เรื่องเรียน เพราะตอนนั้น ฟุ้งซ่านเยอะมาก

    จนครั้งหนึ่ง ได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ได้พบ วลี 2 วลี คือ

    1. มันเป็นอย่างนั้นเอง และ
    2. กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว

   ทำให้ได้คิดครั้งใหญ่ ว่า คนที่ใช้เหตุผลเก่ง แต่ใช้ผิดเรื่อง ขาดการถอย การยอม การปลง ขาดอุเบกขา มันคือการทำร้ายตัวเองเพราะ ว่า

    ข้อแรก เราจะพายเรือวนอยู่ในอ่าง ตลอดไป เพราะมัวแต่หาเหตุผล กับ เรื่องที่ไม่ควรต้องใช้ความ
                คิดขนาดนั้น
   
    ข้อที่สอง  อาจถูกคนที่เห็นโอกาส ปั่นหัวเอาได้ โดยการใช้จุดแข็งของเรา คือการใช้เหตุผล มาปั่น
                   หัวเรา เพราะคนมีเหตุผล ส่วนมาก ไม่คิดทำร้ายใคร ดังนั้น เขาอาจย่ามใจทำแล้วทำ
                   อีก อย่าง สุมาอี้ ไม่ยอมออกมารบกับขงเบ้ง เพราะรู้ว่า ขงเบ้งใช้ความคิดในการรบ ดัง
                  นั้น ทุกอย่างต้องมีแผน สุมาอี้ หลบสบายหลังกำแพงเมือง จบเลย

  "มันเป็นอย่างนั้นเอง"  ทำให้เราได้แนวคิดว่า แทนที่จะถามว่า ทำไม แบบนี้ๆ ทำไมเกิดแบบนี้ ทำไมๆ ก็คิดเลยข้ามไปตอนจบเลยว่า  มันเป็นอย่างนั้นเอง

   "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  ข้อนี้ทั้งกับเรื่องราว และ กับคน เมื่อมันหมดหนทาง หรือ คิดแล้วเซ็งกับเรืองราวหรือคน จนไม่รู้จะไปทางไหน ก็ให้คิดว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว ก็ทำให้ข้ามไปตอนจบได้เลย

  ขอให้ใครที่สนใจ ลองไปหาอ่านแบบเต็มๆ กันนะครับ มีทั้งหนังสือและ ในเน็ต

  ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ในราวๆ ก่อนปี 2539 คือ นานกว่า 18ปีแน่ๆ หลังจากนั้น ชีวิตผมเปลี่ยนนะครับเพราะ เมื่อก่อนผมหลงคิดว่า เรามีธรรมะ ก็อยู่ได้อย่างสบาย แต่ใช้ธรรมะไม่เป็นเลยแย่ครับ และงงว่าทำไมชีวิตช่วงนั้น ทุกข์มากจัง
 
   พอมาอ่านเจอวลีข้างต้นก็ได้คิด หันกลับมามองคำสอนทั้งหมดใหม่ และเริ่มเข้าใจว่า เราใช้ผิดวิธี ศาสนาไม่ได้ผิด แต่เราต่างหากที่ใช้ผิดวิธี

    มาถึงวันนี้ ประสบการณ์ชีวิตหลังเรียนจบ ตอนที่เรียน และ การทำงานกว่า 17 ปี ทำให้ผมหลงลืมสิ่งที่พบในวันนั้น จะเรียกว่า ลืมแก่น ไปหมด แต่ ผลส่วนใหญ่ ยังมีอยู่ ทำให้ แม้จะลืมแต่ชีวิตส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ระยะหลัง ยังมีการ เขียนหลักธรรม เขียนบล็อกมีประโยชน์อีกจำนวนหนึ่งให้คนอ่านกัน เพราะหลงคิดไปว่า เราชั่วโมงบินสูงพอแล้ว

     ซึ่งจริงๆแล้ว ผมยังต้องถือว่า สิ่งที่มีคือ ชั่วโมงในการเรียนรู้ต่างๆหาก และต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ต้องมีสติ ปัญญามากกว่านี้มาก คือผมยังเด็กประถมอยู่เลย

      ที่บอกว่ายังเด็กประถมก็คือ เมื่อมีปัญหาสุขภาพเข้ามา ก็ทำให้เกือบเสียพลังศรัทธา ที่เราเคยมี ผมจึงไม่แปลกใจที่ เคยอ่านเจอในหนังสือว่า คนที่ตายไปแล้ว หมอกู้ชีวิตคืนมาได้ จะกลายเป็นคนมีบุคลิกใหม่ไปเลย บางคนเป็นเดนคน เปลี่ยนเป็นนักบุญไปเลย เพราะรู้คุณค่าชีวิตนั่นเอง

        ท้ายสุด การมีชีวืตที่สุขภาพดีนี่ล่ะสำคัญมาก เราต้องดูแลตัวเองด้วยไปพร้อมๆ กับการมีธรรมะ
ดังนั้นการเกิดอะไรขึ้นกับ สุขภาพ จะเหมือน ข้าศึกมาประชิดพรมแดน แม่ทัพจบใหม่ รู้แต่เร่ืื่องในตำรา อาจฝึกทหาร อาจวางกำลังเป็น แต่ พอจะรบจริงๆ ข้าศึกอยู่ที่กำแพงเมืองแล้ว ก็อาจจะรบไม่เป็นก็เป็นได้ หัวหน้ากองร้อยแก่ๆ อาจจะมีวิสัยทัศน์ในการรบเก่งกว่า แม่ทัพในตอนนี้ก็เป็นได้

        คนที่มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมพอมีปัญหาสุขภาพ แล้วเขว ตกถนน ก็อย่าโทษตัวเองครับ เพราะเป็นได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ศาสนาสอนผิดแต่ เราต่างหากที่ยังไร้ประสบการณ์จริงไหม

         ตัวผมเองตอนนี้มีอาการเจ็บหลัง แต่ก็ออกกำลังกาย ทำกายภาพ มาตลอดและพบวา่ดีขึ้นมาก และดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะกำลังใจ หากผมยอมรับสภาพ ก็เจ็บๆ ไป ป่านนี้จะเป็นอยางไร ลองคิดดู นอกจากนั้น ยังมีการใช้ อิทธิบาท 4 คือ ทำทุกข้อ และใคร่ครวญเรื่อยๆ พบวิธีใหม่ๆ ตลอดก็เอามา
ทดลองทำ คือเอาหมดที่ดี มันก็ย่อมดีกว่าไม่ทำเลยจริงไหม

         แต่พอทำมาสักพัก ก็เริ่มมีความลังเล บ้าง เพราะเราคือคนธรรมดา วันนี้เช้าก็ เกิดวาบความคิดว่า เราเคยต่อสู้แบบแทบไม่มีความหวังเลยมาแล้ว จำได้ไหม....ความคิดมันพาไปของมันเอง

       ทำให้ผมได้คิดว่า ผมเคยผ่านเรื่องคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว จริงๆหลายครั้ง และผ่านได้ ทำไมท้อแท้เสียล่ะ จึงเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

        ผมในตอนนั้น น่าจะราวๆ 20 ปี สมัยเรียนใกล้จบแล้ว แต่อย่างที่บอก ผมนักกิจกรรม เรียนเลย
ชะงักๆ จนมาถึงเทอมที่ต้องลง วิชาเครื่องกล หรือ เมคคานิคส์ ที่จริงๆ ไม่ยาก เพราะมีทั้งภาคทฤษฎี ที่เก็บคะแนนได้สบายๆ กับ ภาคคำนวณที่ต้องมีการแตกแรง คำนวณ แรงต่างๆ เช่นรับน้ำหนักได้เท่านี้ เท่านั้น ทำอย่างไร

         จำได้ว่า เข้าเรียนบ้าง โดดบ้าง ตอนนั้นไปเล่นบาสครับ เล่นทุกวัน ทำกิจกรรมนี่เพียบ  จนเข้าสู่การสอบ ผมทำคะแนนกลางภาคค่อนข้างดี แต่พอมาสอบปลายภาค ผมต้องไปใส่ใจวิชาอื่นๆ จนตกใจว่าไม่เหลือเวลาอ่านให้กับ วิชานี้แล้ว เพราะเหลือแค่ 1 วันก่อนสอบ

          ผมจำได้วิชานี้เปิดสอนปีละครั้ง เท่านั้น และ ผมจะจบช้าไปอีก เป็นปี หากสอบไม่ผ่าน
คะแนนก็ทำไว้ได้ดีมากตอนกลางภาค ทำไมเป็นแบบนี้

       คิดโทษตัวเองมากมาย เรื่องราวตั้งแต่ต้นเทอม เข้ามาในหัวว่า เราเสียเวลาไปทำอะไรบ้าง พลางถามตัวเองว่า ทำไมๆ เราเป็นแบบนี้ ผมทุกข์ใจมาก

        แต่ความจำเป็นบังคับครับ เพราะหากไม่ผ่านเทอมนี้ผมจบโน่นเลย ใกล้ 7-8 ปี หรืออาจลุกลามไปเป็นต้อง ออกเพราะหมดเวลาเรียนตามข้อบังคับที่ 8 ปี

         ผมเครียดมาก เป็นความรู้สึกของการไม่มีทางเลือก หมดทางออกจริงๆ กับเวลา 1 วันก่อนสอบ

        ผมต้องตัดสินใจว่า ยอมรับสภาพสอบๆ ไป ตกก็ตก หรือ สู้

      ผมสู้ ครับ!!!

     ผมตัดสินใจ ไปอ่านหนังสือสอบที่ห้องสมุด จำได้ว่าชั้น 3 เน่ืองจากเป็นช่วงสอบ ทำให้เกือบจะนั่งอยู่คนเดียวทั้งชั้น แอร์เย็นๆ เลยกลายเป็นหนาวไปเลย โดดเดี่ยว อยู่คนเดียว นั่งอ่านไปตั้งแต่บทแรกผ่านไปทีละหน้า จนมาเจอจุดที่ยากก็ท้อใจ เอ้าพักแล้วอ่านซ้ำๆ จนเข้าใจผ่านไปได้ จาก บทแรกเป็นหลายบท แต่เริ่มรู้แล้วมันยากมากๆ

     ความคิดมากมายประดังเข้ามา

   ...มึงยอมแพ้ไปเถอะเป็นไปไม่ได้ มันยาก
     ...มึงทำไม่ได้ มึงทำไม่ได้
      ...ถึงจะอ่านไปจนจบทุกบท ยังต้องท่องสูตร และ จำหัวข้อต่างๆ อีก ไม่ทันหรอก
และ อื่นๆ อีกมาก

   จน วลีที่สอง ที่ว่า "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  โผล่ขึ้นมาในความคิด

    ผมจึงลองใช้ดู พอมันคิดว่าจะยอมแพ้ ผมไม่สนมันครับ แล้วก็บอกว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้วๆๆๆ
ทำไปเรื่อยๆ จน มันนิ่งไปเอง แล้วอ่านต่อไป จนจบ และท่องสูตร จดจำทฤษฎีต่างๆ อย่างตั้งใจ
ตอนนั้นผมเพลียมากแล้ว ต้องลงไปกินข้าว และตัดสินใจกลับไปอ่านต่อที่หอพัก

   แน่ละต้องบริหารเวลานอนพัก และ เวลาตื่นให้ดีๆ รวมทั้งไปให้ทันสอบด้วย

   ผมเข้าห้องสอบแบบค่อนข้างสบายใจ และ ผลสอบออกมา ผมผ่านครับ และ ได้เกรดสูงด้วย
 นี่ล่ะที่ว่า หากเราใช้ธรรมะเป็น มันเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ

    สำหรับผม การคิดว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง คือ ปลงเป็น
                      และ  กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว คือ ไม่วนอยู่ในอ่างน้ำ แต่ข้ามโอ่งครับ จะได้ไปไหนต่อไหนกันต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)                


   

Tuesday, June 24, 2014

ก่อนจะให้ข้อธรรม คติ การสำรวมตามควร ควรมีมาก่อนหรือไม่?

สวัสดีครับ

    ตามจริงแล้วผมได้มีโอกาสเขียนบทความ ตามความถนัดอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่วันนี้ผมได้ข้อคิดจากประสบการณ์ หลังจากคุยกับคุณแม่ในเรื่อง ของการให้ และ การรับว่า บางที การให้ที่ดี อาจไม่ให้ผลที่ดีทุกครั้งไป หากผู้ที่อยู่ปลายทางของสาส์น ไม่ได้รับสุข แต่กลับทุกข์ และ เศร้าใจ อย่างไร?

    ผมหวนกลับไปคิดถึงบทความจำนวนมากที่ผม เขียน เช่นบล็อกหนึ่งเกี่ยวกับการ เพาะกาย มีคนติดตามอ่าน มากกว่า 120,000 ครั้ง ผมเขียนข้อความดีๆ การเล่นเพาะกายที่ถูกต้อง การหายใจ การทำท่าต่างๆ และแจ้งการป้องกันอันตรายต่างๆ

    มันอาจดูหรู และ เลิศ แต่ผมลืมไปว่า มันคือถ้อยคำสำหรับคนที่ ยังสบาย มีโอกาส ยังไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเพาะกาย หรือ คนปกติ แต่ถ้า...

     คนที่อ่านอยู่เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ จากการเพาะกายไปแล้วล่ะ เขาจะรู้สึกอย่างไรกับบทความของผม

     หากจะให้เห็นภาพ เช่น ผมไปแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำสะอาดที่บ้านคนที่มีน้ำอยู่ในตุ่ม มันไม่ยากครับแค่หาสารส้มมาแกว่ง หรือ แนะนให้ซื้อเครื่องกรองน้ำ

      แต่ไปแนะเรื่องเดียวกันกับคนที่ บ้านยังไม่ขุดบ่อและแหล่งน้ำใกล้สุดเดินไปกลับ 1 ชั่วโมง ด้วยการแนะเรื่องเดียวกัน เขาจะลำบากใจแค่ไหน เพราะ น้ำยังไม่มี จะไปคิดถึงน้ำสะอาดตรงไหน เราก็แนะอยู่นั่นแหละ ว่าคำแนะนำเราดี อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ เราไม่ได้ดูพื้นเพว่า คนนั้นไม่เหมือนกัน เราแนะนำเขาโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่างสำรวมระวัง แบบนี้ดีหรือ?

      ผมก็เช่นกัน บทความนับร้อยนั้น มีเป็นหลักหลายสิบบทความ ที่เตือนใหญ่เลย ว่ามีคนทำแบบนั้นแบบนี้แล้วบาดเจ็บ จากการเพาะกาย ที่ป้องกันได้ง่ายๆ แต่ผมลืมไปว่า คนที่เขาเจ็บไปแล้ว บางคนไม่หาย และเจ็บมาก เขาอ่านแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมใส่ใจ ผมต้องบอกว่า

       ผมขอโทษ และไม่มีเจตนา ต่อว่าพวกคุณที่บาดเจ็บเลย ทั้งทางตรง หรือ ทางอ้อม และผมขอโทษอย่างใจจริง

       ธรรมะในศาสนาพุทธ พระท่านยังต้องให้อาราธนาศีลตั้ง 3 ครั้งกว่าท่านจะให้ศีล เชื่อว่าพระท่านมองข้อนี้ไว้แล้ว การให้วิทยาทานจึงเป็นบุญถ่ายเดียว เพราะหากคนมาขอศีลไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่นั่งขอตั้ง 3 ครั้งจริงไหม

        ผมต่อไปคงต้องสำรวมระวังกว่านี้ เพราะการให้ที่เผลอเรอ อาจสร้างความช้ำใจให้กับใครก็ได้
จึงต้องระวังอย่างยิ่ง

       ที่สำคัญปัญหาชีวิตคน แต่ละคนก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน บางคนมีปัญหาหลากหลายประดังเข้ามา บางคนปัญหาใหญ่เรื่องเดียว คุณคิดว่า คนไหนหนักกว่ากัน หากคุณบอกได้แสดงว่า คุณถือตัวเองเป็นใหญ่ เราไม่ได้มาอยู่กับเขา ใกล้ชิดขนาดซึมซับได้จริงๆ กล้าตัดสินได้อย่างไร การเอาทฤษฎีใด คำสอนใด มาหว่านครอบไปเลย อาจไม่ใช่การดีก็เป็นได้ สำหรับผม คิดว่า

        เริ่มจากเห็นใจคนที่มีปัญหาก่อน คลุกคลีตีโมงพอประมาณ และค่อย สร้างความเข้าใจ กำลังใจที่ไม่เกิดมาจากความจริงใจและให้เวลาไม่มากพอ เราสร้างความเข้าใจไป ก็เหมือน ซื้อรถราคาร้อยล้าน มาจอดไว้ แต่ไม่เติมน้ำมัน ต้องเริ่มจากความเห็นใจ ใส่ใจก่อนครับ ให้เห็นเนื้อแท้ว่า เขาเจออะไร อย่างไร ให้เวลาฟังเขามากๆ ค่อยตัดสิน และ แนะนำช่วยเหลือ ครับ :0)

สว้สดีครับ
คุณบอลล์

Sunday, June 1, 2014

แนวคิดวาบความคิดของผม เรื่องกาลเวลา จะพาเราไปเอง จงเดินทางอย่างมีสติ มีธรรมะ

สวัสดีครับ

   เคยมีวาบความคิดนี้มา มาระยะหนึ่งคือ  ไม่ว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ สิ่งที่จะพาเราผ่านไปได้เสมอคือ
กาลเวลา

    ผมวาบคิดขึ้นมาว่า  เวลาจะพาเราผ่านทุกอย่างไปได้ และ พาเราท่องไปยังห้วงเวลาต่างๆ

  ขอเสริมเข้าไปอีกหน่อยว่า ไม่ว่าคุณจะชอบ ไม่ชอบ จะอะไรก็ตาม มันจะมีวันพรุ่งนี้เกิดขึ้นเสมอ
และวันนี้ต้องผ่านไปเสมอ ดังนั้น คุณเมื่อย้อนกลับมาคิดถึงสิ่งที่ผ่านไป เราจะแบกรับสิ่งที่ไม่ดี หรือ ดีไว้ล่ะ ดังนั้น ทำสิ่งเป็นกุศลไว้ครับ แล้วเวลาจะพาเราผ่านสิ่งต่างๆ ไปเอง จริงไหม
 
      ไม่มีอะไรเอาชนะเวลาได้ เลย แม้อุปสรรค ปัญหาใด ๆ จะใหญ่ขนาดไหน ก็แพ้แก่เวลา เพราะทุกอย่างมีเวลาของมัน ไม่มีอะไรตั้งอยู่ตลอดไป มันต้องแพ้ให้แก่เวลา วันยังค่ำ
 
      อาจคิดกันเล่นๆ ว่า จะไปกลัวอุปสรรค ปัญหาทำไม  ก็เมื่อ เราอาจจะชนะมันไม่ได้ แต่มันต้องแพ้ให้แก่ เวลา ไม่มีเป็นอื่นไปได้ พอเวลาเอาชนะมันแล้ว เราก็จะชนะมันด้วย เพราะเราก็เดินทางอยู่ในห้วงกาลเวลาเช่นกัน เวลาเอาชนะได้ทุกสิ่ง  และขอให้เดินทางไปกับกาลเวลา อย่างมี สติ มีธรรมะ 

        ดังพระท่านว่า  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

      หากไม่อยากพบเจอสิ่งวนซ้ำ น่าเบื่อแบบนี้ ก็ต้อง ปฏิบัติธรรมให้บรรลุ นิพพาน เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ เวลา เอาชนะไม่ได้เลย จริงไหม 


   เมื่อห้วงเวลาต่างๆ เป็นกุศล ด้วยยวดยาน ฟรี คือเวลา ที่ขับเคลื่อนไปด้วยตัวของเขาเอง ชีวิตเราก็จะเป็นกุศลเป็นส่วนมาก จริงไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, May 21, 2014

น้ำใจคนไทย พี่คนทำความสะอาดอาคาร "ไหวไหมครับ" ?

สวัสดีครับ

    ชายคนหนึ่งกำลังใช้ไม้เท้า เดินขึ้นบันไดของตึกอาคารเรียน ที่แสนใหญ่โต เพียงแต่บันได ของตึกนี้ มันชันเสียนี่กระไร เขาหยุดพักกลางบันได เพื่อดูให้แน่ว่า ข้าวของที่ถืออยู่ ไม่ตกหกหล่น และ ขาของเขายังไม่ค่อย 100% ดีนัก จากอาการปวดหลังเฉียบพลัน

    ไหวไหมครับ

   เขาคิดวาบแรกที่ได้ยินเสียงของชาย พี่คนทำความสะอาดตึก ว่า ไม่อยากให้ใครช่วยนะ เพราะกลัวจะเคยตัว คือ จะคิดว่าตัวเองป่วยไม่หายสักที หรือคิดว่า ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ไปน่ะสิ คือ จะพึ่งพิงคนอื่นตลอดไม่ได้ลองว่า จริงๆ กำลังของตัวตอนป่วยนี้ช่วยตัวเองได้แค่ไหน   แต่มโนสำนึกรู้ว่า นี่คือน้ำใจ
ซึ่ง มีค่ากว่า ความในใจ ที่เราคิด

    ไหวไหมครับ

    เขาถามผู้ที่กำลังใช้ไม้เท้า ชายคนป่วยตอบ

     ไหวครับพี่   ส่งยิ้มให้

  แต่ไม่วายที่ ชายผู้อารี ยังเดินเข้ามาแล้ว มาประคอง อย่างเป็นงาน คือ ที่ ท่อนแขนด้านล่าง บริเวณศอก และ ข้อมือ ชายคนป่วย เดินขึ้นบันได อย่างสบาย กว่าทุกวัน สบายไปกว่าครึ่ง

    เขารีบขอบคุณ ชายคนนั้นยิ้มให้แล้วเดินกลับไปทำงาน

    หากมองในหลักกฎแห่งกรรม เราต่าง เคยอนุเคราะห์กันมาก่อน สถาบันการศึกษา มีนักศึกษานับหมื่น บุคลากร นับพัน  ทำไมเขาสองคนได้มาเจอกัน มันมีเรื่องทั้ง กรรมเก่า และ กรรมใหม่ ปะปนในนั้น

    ที่แน่ๆ ชาติต่อไป มันย่อมมีการสลับกัน และ คนที่เข้ามาช่วยจะสลับกัน เขาเป็นว่า มี 1 ครั้งล่ะ ที่ในชาติหน้า หากชายที่เป็นคนเข้ามาช่วยในชาตินี้ ป่วยเจ็บในชาติหน้า คนที่เข้่ามาช่วย จะเป็นคนป่วยในชาตินี้ที่เขาช่วยนี่ล่ะ  ผมเชื่อแบบนั้นน่ะ

    ทีนี้ คนที่ป่วยในชาตินี้ ต้องดูภูมิหลังด้วย เขาคิดอย่างไรในการมาทำงานในวันนี้

    1. ทดสอบตัวเองว่า ทำงานได้ติดต่อกันได้กี่วัน โดยไม่ลาป่วย
    2. ตั้งใจมาทำงาน ให้แต่ละวันผ่านไปดีที่สุด ป่วยก็ทนมา
    3.เขาไม่กินเหล้าไม่ สูบบุหรี่
    4.เขาอยู่ในสภาวะลำบาก จริงๆ
 
   คนที่เข้ามาช่วย ล่ะคิดอะไร

    1.เห็นใจ = เมตตา
     2. ลงมือช่วย ทิ้งอุปกรณ์เลย เดินเข้ามาช่วย  = กรุณา
      3. ช่วยคนป่วยเสร็จ เห็นคนป่วยสบายขึ้น ก็ยินดี =  มุฑิตา
       4. เป็นการช่วยตามกำลัง ความสามารถของตน ได้เต็มที่แล้ว ก็ยินดี = อุเบกขา


เมื่อเป็นการช่วยแบบพรหมวิหาร 4 และคนที่เราเข้าไปช่วย ก็กำลังตั้งใจดี และ กำลังลำบาก คล้ายๆ กับต้นไม้ ขาดน้ำ มานานแล้วได้น้ำ  แบบนี้ ได้กุศลแรงมาก

   ดังนั้นคนที่เข้ามาช่วย ย่อมได้บุญกุศล มหาศาล เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมนะครับ พระสงฆ์ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัตชอบนี่ เป็นเนื้อนาบุญอันดี ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่านะครับ และหากคุณได้ทำบุญกับ สงฆ์อาพาธ กุศลจะแรงมากๆ ขอฝากเอาไว้ครับ

  สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
   

Tuesday, May 20, 2014

เมื่อคนป่วย แสร้งทำใจให้ไม่ป่วย (ก็ยังอยู่ฝั่งกุศลล่ะ) กรณีเราชอบคิดไปในแง่ร้าย เสียๆ หายๆ กลัวไปหมด

สวัสดีครับ

     ยามที่เราขับรถ เราไม่เคยเห็นคุณค่าของน้ำมันรถ จนกระทั่งมันใกล้หมด เพราะ พอถึงเวลา ต้องรีบกุลีกุจอ เข้าปั๊มกันจ้าละหวั่น จริงไหม

     ชีวิตคน ผมนี่ได้บทเรียน ที่ต้องใช้ชีวิต กว่า 41 ปีจึงจะได้คิด และสำนึกว่า

   "คุณจะสุดยอดเพียงใด มีวิธีคิด เห็นโลกมามากแค่ไหน อย่าเพิ่งคิดว่า คุณเจนจบ แล้ว...

   จงเผื่อใจไว้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ลำบากกาย ลำบากใจ บ้าง ค่อยมาดูตัวเองใหม่ว่า คุณเรียนมาพอ
    หรือยัง...."

     ซึ่งพอผมป่วย มีอาการเจ็บแบบไม่คิดฝันเข้าวันหนึ่ง ผมถึงรู้ตัวเอง 2 ข้อ

    1. เรานั้นบอบบางนัก สิ่งที่เรียนรู้มา เข้าใจว่าเรา ตามสติ มีสมาธิ พอประมาณ มันดี กับการช่วยเหลือ
         เป็นกำลังใจให้ ผู้อื่น นี่เรื่องดี   แต่สำหรับตัวเอง กลับลนลาน กังวลกับอาการเจ็บป่วยของตน                 เหมือน เด็กเล็กๆ คนหนึ่ง

    2. ธรรมะนั้น เรียนรู้ไปเถิด ดีทั้งนั้น แม้จะรู้ว่า ตัวเองทำใจไม่ได้กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง กลัวลาน ไปหมด แต่ ก็มีหลักธรรมเข้ามาในใจ ให้ได้คิด เกิดแสงแห่งปัญญาทำโน่นนี่ มาเป็นระยะๆ และ คุณธรรมที่เรียนมา ช่วยคนมา พอถึงตาเรา เจ็บป่วย ก็มีมิตรสหาย ทักทายไม่ขาด สำหรับ พ่อ แม่ พี่น้อง และคนรักของเรา อันนี้ พวกเขารักเราอยู่แล้ว ผมได้กำลังใจจากตรงนี้มากๆ   เรียกว่า มีกำลังใจมาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ซึมบ่อทราย แปลว่า มาเรื่อยๆ ไม่มากแต่ไม่มีหมด

 
      การเจ็บป่วย คือเรื่องที่ใกล้กับคำว่า มีหรือหมดวาสนา มากที่สุด ลองคิดดู

    1. อาชีพการงานของคุณ จะเป็นอย่างไร จากนี้
     2. คนรอบข้างใกล้ตัวจะเป็นอย่างไร
      3. หากอยู่ลำพังคนเดียว เราจะทำอย่างไร

 และ มีเรื่องให้คิดมากมาย มากจริงๆ

      ไม่เคยมาเจ็บป่วย ไม่มีทางรู้หรอกครับ

    คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องอยู่กับคนประเภทคิดบวก มีพลังเมตตาเหลือเฟือ คุยได้ต่อติด จะทำให้มีกำลังใจฟื้นจากการเจ็บป่วยได้เร็ว แต่คนแบบนี้ มีไม่เยอะครับ คนป่วยจึงต้อง บางที

   แกล้งทำตัว เป็นคนรู้จักคิด แสร้งทำเป็นคิดบวก    บ้าง

  ก่อนที่จะเฉาตายไปเสียก่อน   จะดีหรือ


   มันก็ไม่น่าเกลียดนี่ครับ ก็เวลาน้ำมันหมด เราเลี้ยวเข้าปั้มเติมแก็ส โซฮอล์  ไม่ใช่น้ำมันเพียวๆ เสียหน่อย ก็ทำได้นี่ จริงไหม

    การแสร้งทำตัวเอง เป็นคน คิดบวก มีพลังเหลือเฟือก็คล้ายๆ กัน คือ

   ตอนนี้เติมอะไรให้ชีวิตได้ เติมไปก่อนเหอะ เอาให้รอดตายคราวนี้ก่อนเถอะ หากมัวรอ ฮีโร่ พอดีกว่าจะเจอ อาจบ๊าย บาย ลาโลกไปแล้ว หรือ จิตตกไม่มีเหลือ

     คนป่วยเสี่ยงต่ออาการจิตตก แต่อาจแก้ได้ ด้วยการ แสร้ง เสแสร้ง แกล้งทำตัวเป็น คนคิดเป็น คิดบวก มีพลัง ทำอย่างไร?

       ไม่ยากครับ คิอแบบนี้

1.  มีกรรมส่งผลอยู่ 1 ไม่ค่อยดีนัก บวกคิดมาก ฟุ้งซ่าน จนทำร้ายตัวเอง อีก 1 รวมเป็น 2 แรงแข็งขัน
   
2.  มีกรรมส่งผลอยู่ 1 ไม่ค่อยดีนัก  เฉยๆ ทำไม่สน กรูไม่ฟุ้งซ่าน  บวกยังไงก็ได้ แค่ 1 แรง

3.   มีกรรมส่งผลอยู้่ 1 ไม่ค่อยดีนัก แต่แสร้งคิดบวก หานั่นทำนี่ ต่อสู้ ดูแลตัวเอง รักษากายและใจ จะดีจะร้ายไม่คิดมาก อ้าว เกิดพลังบวก กับตัว  เกิดแรงไปทางบวก 1 2 3 4.... ไม่สิ้นสุด
๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

เป็นตัวเราที่ต้องเลือก จริงไหม
   กรรมมันส่งผลแล้ว คุณเลือกแบบไหน คนเรา สถานีปลายทางคือ   ความตาย  หนีไม่พ้น สมมุติว่า โรคร้ายแรงที่สุดคือ ตาย   คุณจะเลือกเป็นคนแบบไหน จาก 3 ข้อข้างต้น ?

   พวกแรก เรียกว่า พวก ซ้ำเติมตัวเอง
   พวกที่สอง เรียกว่า พวกรู้ทัน
   พวกที่สาม  เรียกว่า ไม่มีเสียเปรียบหรอก คือ โดยลบมา ตรูข้าจะบวกกลับเป็น สิบ เป็นร้อย

   และธรรมชาติ มันก็เป็นแบบนี้จริงๆ  เราจะเห็นว่า ทุกข์หนักทั้งหลาย ตลอดชีวิต จะพบว่า

    แล้วมันก็ผ่านไป

   สิ่งที่ทิ้งไว้คือ จิตดวงเดิมของเรา ที่ต้องเผชิญโลกต่อไป จนวาระสุดท้าย แต่จิตนี้ จะ

  บอบช้ำ
   กลางๆ
   สุขใจเป็นส่วนมาก

  3 แบบ คุณคือคนที่เลือกเอง   หากเห็นดังนี้แล้ว จะอะไรที่เข้ามา ขอเป็น คนแบบที่ 3. กันดีกว่าไหม คือ
อะไรที่กรรมส่งผลแล้ว เป็นไป สร้างกรรมใหม่ ทำกรรมใหม่ สู้สิพวก ท้ายสุด มันก็ผ่านไป ตามกาลเวลา เราก็ยัง สุขมากกว่าทุกข์อยู่ดี จริงไหม

  ดังนั้น จงอย่าซ้ำเติมตัวเอง หากอารมณ์ใด เกิดแล้วมันจะเข้ามาทำร้ายใจเราตอนป่วย บอกลามันเลยว่า มึงมาได้ มึงก็ไปได้ ก็ไม่สน เพราะ

      ทุกสิ่งอย่าง มีการ   เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

     จงคิดต่ออีกนิด เป็น การตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า

     ทุกวันเราจะมีเป้าหมายเล็กๆ ว่าจะทำอะไร เช้าตื่น กลางวันลงมือทำ ค่ำพักผ่อน ทำดีที่สุด และ กูทำได้เทานี้  แต่ กูทำเป้าหมายได้สำเร็จ 1 งาน

     มีจาก 1 วัน เป็น 1 สัปดาห์ เป็นเดือน เป้าหมายจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บอกตัวเองให้ได้ว่า อีก 1 ปี จะมีอะไร เป็นอะไร อีก 3-5 ปี มี ทำ เป็นอะไร พอแล้ว ล่าสุดมีงานวิจัยว่า คนที่มีเป้าหมายในชีวิตส่วนมากอายุเกิน 70 ปี และอายุยืนกว่านั้นครับ

    ดังนั้นเราเจ็บป่วย ก็อย่าซ้ำเติมตัวเอง ไม่มีอะไรจะเสีย กว่านี้  ที่่เหลือคือ ทำเรื่องดีๆ บวกๆ กุศลมากๆ เพิ่มให้มากกว่าคนปกติ สัก 10 เท่า 100 เท่าไปเลยครับ เพราะ

    หากเราไม่หาย เราได้กุศล ได้จิตใจที่บวก ไม่ซ้ำเติมตนเอง

    หากเราหายดี คุณจะมีแต่กำไรนะครับ

 แนวทางของผมเป็นแบบนี้

ลองนำไปต่อยอดครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Tuesday, May 13, 2014

บทความเกี่ยวเนื่องกับธรรมะ ตอน ในซอกหลืบของ "ความเศร้า" กับแนวคิดการช่วยผู้คน ให้พ้นทุกข์ในทางโลก

สวัสดีครับ

      วันนี้อาจคุยในเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมะตรงๆ แต่เข้าได้กับหมวดของธรรมะ เรื่องความเมตตา กรุณา เป็นแน่ เพราะเมตตา คืออยากให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณานี่ก็น่าจะอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  ถ้าผมจำไม่คลาดเคลื่อนนะครับ

       แนวคิดของผมก็คือ  มนุษย์ทุกคน มีกรรมดีชั่ว มาต่างๆ กัน และเวลาในการส่งผลก็ย่อมแตกต่างกัน กรรมดี ก็ดีไป ส่วนมากทุกคน จะมีมุฑิตาจิต ยินดีกับคนที่เรารู้จักอยู่แล้ว แต่ หากกรรมชั่วส่งผล คือ เกิดผลร้าย จะมากน้อย กับใครก็ตาม ย่อมไม่ใช่เรื่องดี

       กรรมแบบหนึ่ง ในทางศาสนาคือผลจากการผิดศีลข้อที่ 1. คือการเบียดเบียนสัตว์ นั่นคือ จะส่งผลให้เราเจ็บไข้ ได้ป่วย ใครมาเกิดอยู่ในช่วงเวลาที่ กรรมแบบนี้ส่งผล เชื่อผมเถอะ ได้ใจแป้ว กันไปตามๆ กัน วัยรุ่นสมัยผม เขาว่า หนาวเลย

      ยกตัวอย่างเดียวพอ จะเป็นกรรมชั่วแบบใด ส่งผลกับเรา ไม่มีใครมีความสุขหรอกครับ เราย่อมทุกข์ใจ แต่เราจะบรรเทาอาการได้อย่างไร ในใจเราให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ ผมซึ่งมีประสบการณ์มากับตัวพบว่า

 กลไก 5 ขั้นในการรักษาและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ

        1. รับรู้ และ ทำความเข้าใจ ว่า ทุกอย่าง มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป 
            กรรมหรือผลของกรรมก็เช่นกัน หากเรามีความสุขเป็นส่วนมากมา
            10 ปี ยกตัวอย่าง แล้วมาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ มีเรื่องราวอื่นๆ เกิดใน
            ปีต่อๆ มา ก็ให้มองว่า สุข ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

             คิดแบบนี้ให้ได้ก่อน คือ ยอมรับว่า มันต้องแฟร์ ทั้งสุขและทุกข์

       2. มีหนทางแก้ไข (สร้างพลังแห่งศรัทธา)

            -ทางการแพทย์ ก็ติดตามรักษาให้เต็มกำลัง
            -ทางจิตใจ อย่าทุกข์คนเดียว ต้อง เล่าสู่กันฟัง ให้ คนใกล้ชิดฟัง
              เรามี ญาติ คนใกล้ชิด คนที่เรารัก ไว้ เพื่อร่วมสุขและทุกข์กับเรา ไม่ใช่หรือ

            -หนทางเลือก อื่นๆ เช่น สวดมนต์, ทำบุญ, ทำสมาธิ
            -คิดถึงความดีงามอื่นๆ ที่จะสงกุศลผลบุญให้เรา หายจากโรค
            -ดูแลการกินอาหาร
            -ทำกายภาพ ท่าต้องทำ สำหรับผม การทำกายภาพคือ การออกกำลังกายแบบหนึ่งครับ

    และอื่นๆ อีกมากมาย

        ข้อ 2. คือ การสร้างความหวัง ความนับถือ ความศรัทธา ให้กับตัวเอง ในการที่จะหายจากโรคภัยใดๆ

       3. รู้จักตัวเอง และ ซี่่อสัตย์ต่อความรู้สึก

      คนป่วยหลายคนยังหลงทาง อยู่ใน กลุ่มคำพูดพวกนี้

      -คนเราต้องอดทน
       -เสือต้องไม่ร้องไห้
       -เราดูแลตัวเองได้
        -อย่าเอาอาการป่วยของเราไปให้คนอื่นเดือดร้อน

     หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน

     อย่าไปเชื่อแนวคิดเหล่านี้ครับ เพราะมันคือ ความคิดของคนเห็นแก่ตัว ที่ต้องการกันเราออกไปจากโลกความสุขจอมปลอมของเขาหรือ กลุ่มของเขา เพราะเขาไม่รู้จัก รักษาน้ำใจคน พูดรักษา ดูแลคนไม่เป็นต่างหาก แต่อย่าไปโทษเขา เพราะคนเรา เติบโตมา ไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด

      วิธีในข้อ 3 คือ คุณรู้สึกท้อแท้ ให้ร้องไห้ ออกมา คิดทบทวนว่าทำไมเป็นแบบนี้ แล้วมองหา จุดแก้ไข
จงร้องไห้ จงระบาย จงขอกำลังใจ จงซื่อสัตย์ต่อตัวเอง จะมาเป็น วีรบุรุษกับอาการป่วยให้โง่ทำไม จงยอมรับตัวเองว่า ป่วย และ ฉันจะร้องไห้ ออกมา แต่....

       แต่... เอาไว้ก่อน แต่ขออธิบายว่าทำไม ให้ระบาย ให้ขอความช่วยเหลือ ให้ร้องไห้

     นั่นเพราะเราคือคน ครับ   หากเรามีความสุขแล้วเรา หัวเราะ ยิ้ม มีความสุขกันได้
  ยามทุกข์เราย่อมต้องร้องไห้ได้ ครับ กลไกธรรมชาติพวกนี้ มีไว้ พิทักษ์รักษาคนทุกคนครับ

  เด็กร้องไห้ เพราะหิว ปวด สารพัด แต่การร้องไห้ อย่างเดียว ทำให้ผู้ใหญ่หันมาให้ความสนใจ พร้อมทิ้งทุกอย่าง มาดูเขาใช่ไหม นั่นล่ะ คือ ความลับของการร้องไห้ เพราะมันทำให้คน ต้องหันมาสนใจ

      การระบาย ก็ทำให้คนเห็นเราตามจริง ไม่หลอกลวง สมมติว่า คนเป็นโรคกระเพาะ แต่เพื่อนชอบชวนไปกินเหล้า เคล้ากับแกล้ม เผ็ด สะใจ เขา แต่ เราแย่ๆ เพราะ เรามัวแต่ทำตัวเข็มแข็ง ลองนั่งระบายกับเพื่อนสิครับ ช่วงนี้กูเซ็งกับอาการกระเพาะจริงๆ อาหารไม่เผ็ด กูยังแสบร้อนเลย เขาจะเห็นตัวจริงของคุณ เขาจะไม่กล้าชวนคุณไปทรมาน อีกต่อไปจริงไหม

     เอาเป็นว่า จงซื้อสัตย์กับตัวเอง เป็นอะไรก็สื่อสารออกไปตามนั้น ให้คนเขารู้่ตอนนี้ดีกว่า อีก หลายเดือน อีกหลายปี ข้างหน้า คนเขาอาจจะเรียกคุณว่า คนหลอกลวงก็เป็นได้ จริงไหม

      4. รู้จักคนที่ฟังเราได้

     จากข้อ 3. คุณจะเห็นเลยว่าใคร เป็นเพื่อนแท้ คนที่รักเราจริงๆ คุณเชื่อไหมบางคนเพียงรับทราบอาการ ก็ไม่ถามอะไรแล้ว บางคนกลับนั่งไต่ถาม ด้วยความสนใจ เพราะเขารู้ว่า เพียงเป็นเพื่อนคุยสักพักผู้ป่วยนั้นก็ ชื่นใจ มากมายเสียจริงๆ ยิ่งทำให้หายโรคหายไข้ได้ไว  มันคือน้ำใจและลักษณนิสัยครับ ผมบอกแล้วนะ อย่าไปตำหนิเขา นี่เป็นเรื่องน้ำใจ ซื้อไม่ได้ ขายก็ไม่ได้

      การเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เป็นเองไม่รู้หรอกนะ

     คนที่รู้จัก ทักทายสร้างมิตรมานานปี จะได้เปรียบ เพราะเพื่อนมีมาก จากที่ทักทายกันผิวเผิน คนเหล่านี้จะมาไต่ถามเรา เพราะปกติเราไม่เป็นแบบนี้ คุณจะอบอุ่นใจ มิตรภาพจึง หาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ เชื่อผม สร้างเพื่อนไว้ครับ ยิ้มง่ายๆ ทักกัน ยามป่วยไข้ เราจะมีคนมาสนใจเรามาก ได้กำลังใจ

     คนทีเพื่อนน้อย ให้คุยกับเพื่อนเท่าที่มี คุณจะพบธาตุแท้ของเพื่อน ว่าเป็นอย่างไร หรือ กับญาติ หากอยู่ห่างไกลคุุยไม่ได้บ่อย ให้คุยกับผู้ใหญ่ ที่คุณรู้จัก บอกท่านตรงๆ ว่า
 
     ผม/ดิฉัน กำลังทุกข์ใจ จากการป่วย ต้องการกำลังใจ และ ข้อแนะนำ

   ตรงๆ ไปเลยครับ และ จบแล้ว ขออนุญาต มาพูดคุยบ้าง เพราะญาติผู้ใหญ่ ที่นี่ไม่มี ประมาณนี้


   ให้เอาตัวของคุณออกไปสู่ คนที่รับฟังคุณ

   อย่าลืม จะคุยกับใคร หากเขารับฟังเรา คุยกับเรา ต้องชอบคุณจากใจ และ บอกเสมอมา มันมีคุณค่ากับเรา เพียงใด เหมือนคนขาดน้ำในทะเลทราย น้ำสักแก้ว มีค่ากว่าทองคำ จริงไหม

    5.จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอาการป่วย และ แชร์วิธีที่คุณหายดี อย่างมีสติ
   เพื่อเป็นแนวทางให้คนที่เริ่มป่วยไข้ ได้มีกำลังใจ และยังได้กุศลอีกด้วย อันไหนเป็นแนวคิดเราเองก็บอกของเรา อันไหนเป็นงานวิจัย ก็บอกตรงๆ ให้ผู้อ่านมีทางเลือกครับ

   ต่อไปจะเป็นในส่วนผู้ดูแล คนป่วยที่มาขอคำปรึกษา และ ขอให้เรารับฟัง เราจะให้กำลังใจเขาด้วยแนวคิดแบบไหน อย่างไร

      แนวคิดของผมก็คือ   คนทุกคน มีซอกหลืบแห่ง "ความเศร้า" ที่เขาหรือเธออาจจะเข้าไปหลบซ่อนในซอกหลืบนั้น เมื่อใด ตอนไหน ก็ได้ ที่่ว่าเป็นซอกหลืบก็เพราะว่า เมื่อเขาหรือเธอ เข้าไปอยู่ในนั้น เราไม่มีทางรู้หรอก เพราะมันเป็น สิ่งที่ซ่อนอยู่

      จงจำไว้ว่า ญาติของคุณ ลูกของคุณ แม้กระทั่ง พ่อ แม่ พี่น้อง ของคุณ หรือคนที่คุณรัก หรือ รู้จัก เขาอาจจะกำลังหลบอยู่ในซอกหลืบแห่งความเศร้า นี้ มาระยะหนึ่ง มานานแล้ว หรือ พักใหญ่

        จงอย่าระเริงว่า ที่เขายิ้ม สนุก มีความสุขให้เราเห็น คือ ชีวิตเขาดี ไม่มีอะไรนี่หว่า มันไม่ใช่นะครับ
เราเคยเห็นไหม อยู่ๆ คนที่เรารู้จัก ก็ล้มเหลวในชีวิตไม่เป็นท่า เราทำได้เพียงนั่งวิเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้
เช่น ทำไมเขาปล่อยมาแบบนี้ ทำไมไม่บอกกัน

         นั่นก็เพราะค่านิยมโง่ๆ ที่ว่า เราต้องเข้มแข็ง เราต้องไม่่พึ่งพิงผู้อื่น ซึ่งดูดี แต่ พูดไม่่จบว่า เข้มแข็งแบบไหน ฉลาด แบบไหนโง่ แบบไหนกลางๆ แถมยังไม่มีการสอนว่า เมื่อเราอ่อนแอ จะทำอย่างไร เมื่อจำต้องพึงคนอื่นบ้างจะทำอย่างไร นี่ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนสอนกัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะในศาสนาต่างๆ ทั่วโลก มีการสอนให้เราช่วยเหลือผู้อื่นๆ นั่นแปลว่า ศาสนาเห็นความจริงของคนเราว่า เกิดมาแล้วย่อมต้องพึ่งพิงกันในยามใดยามหนึ่งนั่นเอง

       ผมเชื่อศาสนาในข้อนี้ เพราะวิชาการในโลกนี้ ผมยังไม่เห็นมีสาชาวิชาการไหน ที่อายุยืนนานนับเป็นหลายพันปีเหมือนอย่างที่ มีในศาสนา จริงไหม?

        จากแนวคิดซอกหลืบของชีวิต เราจึงควรตั้งข้อสงสัยว่า ภายใต้รอยยิ้ม และความไม่มีอะไร น่ะ จริงๆ แล้วเขามีอะไรไหม แต่ใครจะกล้าบอกล่ะ ถ้าเราไม่กล้าถาม!!!

        เราทั้งหลาย เชื้่อผมครับ จงออกมาจาก ห้องปลอดภัยของคุณ แล้วจงมาวุ่นวายกับชีวิตบ้าง จงไต่ถาม คนที่คุณรู้จัก จากใกล้สุด ออกไปนอกสุดว่า

         ขณะนี้ คุณ สบายดีไหม อย่าให้เขาตอบว่า สบายดี แล้วจบกัน ต่างคนต่างไป มันเป็นมารยาทจอมปลอม จงเอ่ยปากต่อไปอีก สัก ไม่กี่วินาทีว่า

     ถ้ามีเรื่องอะไร สบายใจ หรือ ไม่สบายใจ ในขณะนี้ หรือ ผ่านมาสักพัก ขอให้จำไว้นะ ผมคือคนที่จะรับฟังเสมอ และจะช่วยเท่าที่จะทำได้ ผมพูดจริงๆ นะ

       เชื่อผม เขาจะชะงัก บางคนนี่คือการได้พบ พระเจ้า ได้หนทางใหม่ ได้ทางแห่งชีวิต และ เชื่อไหมครับเราอาจช่วยคนจากการเสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ เพราะบางคนหมดอาลัยจริงๆ แล้ว เข้มแข็งมา แต่ไม่เห็นมันจะเหมือนเพื่อน กูตายดีกว่า กลับมาเจอคนที่เปิดใจ ทักเขาว่า จะรับฟัง เขาลองเล่า และ พบคำตอบตอนนั้นเลย คือ มันได้ระบายออกมา ไม่ตายแล้ว นี่ช่วย 1 ชีวิต บุญกุศล มโหฬารจริงไหม

      จงอ่านและทบทวน อย่าลืมบทความนี้นะครับ ซอกหลืบแห่งความเศร้า อย่าให้คนใกล้ชิด เพื่อนของคุณ หลบอยู่ในซอกหลืบนั้น นานเกินไป เราต้องรุกเข้าไป อย่าให้มายาแห่งความสุขจอมปลอม มาพรากพวกเขาไปจากคุณ ไม่มีคำว่าสาย เมื่อเรา "ใส่ใจ"

ปล. จงถามแล้วถามอีก ให้เขาเกลียด ยังดีกว่าให้เขา จมปลักอยู่ในซอกหลืบนั้น เรียกว่า เสียสละ
        จริงไหม?

สวัสดีครับ
คุณบอลล์

   ด้วยความดี กุศลจากบทความนี้ อันมีอยู่ตามส่วน ขอให้ พ่อ แม่ น้องชาย น้องสะใภ้ มาโปรด ญาติพี่น้อง ตัวข้าพเจ้า คนที่ข้าพเจ้ารัก ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ได้มีกำลังแรงกาย แรงใจ ในการสร้างคุณงาม ความดีให้กับสังคม ประเทศชาติ และ  มีความสุข เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ

    ขอให้เจ้ากรรมนายเวร ได้อนุโมทนาบุญ จากกุศลในบทความนี้ และ จากการมีการเผยแผ่ต่อๆ ไปจากนี้เองเถิด ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย อโหสิกรรม แก่ข้าพเจ้า ในกรรมใดๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งจากใน อดีตชาติ และ ปัจจุบัน ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ใน ภพ หรือ ภูมิใดๆ

 ด้วยความจริงใจ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
         

Sunday, May 11, 2014

เมื่อหวังสุขคติในโลกหน้า ก็ควรหวังสุขคติในโลกปัจจุบันด้วย ทิ้งกันไม่ได้ เพราะดวงจิตเดียวกัน จริงไหม?

สวัสดีครับ

   หลายสัปดาห์ก่อน ผมเผยแผ่ ไอเดีย วาบความคิด เรื่องการหันกลับมา เจริญ สมาธิ ปฏิบัติสมาธิกันดีกว่า เพราะเมื่อเราทำอย่างตั้งใจไปเรื่อยๆ มีสติ พร้อม วันหนึ่งต้องมีความก้าวหน้าในระดับใด ระดับหนึ่งเป็นแน่แท้ จริงไหมครับ จนกว่าจะสิ้นลมหายใจไปจากชาตินี้

     การเขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เบื่อโลก ใช้ชีวิตไปอย่างไรก็ได้ แต่ให้ทำสมาธิไว้ ไม่ใช่เลยครับ ความหมายคือ ให้มีชีวิตในชาตินี้ ที่ดี มีสติ ไม่ประมาท และ มีการปฏิบัติสมาธิไปพร้อมๆ กันด้วย คือ เปลี่ยนตัวเอง ใหม่ถอดด้าม ให้ ดีทั้งโลกนี้ (ให้ดีที่สุด) ขณะที่ ก็จองตั๋ว สุขคติ ในโลกหน้าไว้พร้อมๆ กัน นั่นเอง คือ ดี คูณ ดี ได้ ดี ยกกำลัง สอง แบบนั้น

     การปฏิบัติสมาธิ ทำให้ เรากลายเป็นอะไรได้หลายอย่างเช่น

    1.เพียงลงมือปฏิบัติสมาธิ ก็ได้บุญ ได้อานิสงฆ์ มากมาย มหาศาลแล้ว
    2.ปฏิบัติไปได้สมาธิขั้นพื้นๆ อย่าง ฌาน 1 ก็มีที่หมายเป็น พรหม แน่นอน
    3.ได้ฌานสูงกว่านั้น ก็ยิ่งได้เป็นพรหม ชั้นสูงขึ้นไปอีก
    4. หากปฏิบัติไปในทาง วิปัสสนา หากไม่บรรลุธรรมขั้นสุดยอด ก็มี ชั้นพรหมเฉพาะเป็นที่ ประทับ
    5. ในทางวิปัสนา ปฏิบัติได้สูงสุด ก็ ได้บรรลุพระนิพพาน


  สรุปคือ การปฏิบัติสมาธินั้น มีแต่สิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเราทั้งนั้น มองไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหน อยู่ที่เราว่าจะเลือกทำจริงจังได้เพียงใด

     เอาล่ะวันนี้ว่ากันเรื่องทางโลกครับ หากทำดังขั้นต้นได้แล้ว อยู่ในกระแส คือ ทำได้ เป็นประจำ จนเป็นนิสัยแล้ว ก็เชื่อว่า ปิดทางอบายได้ล่ะในชาตินี้ ยิ่งคนมีอายุน้อยทำก็ได้เปรียบนะครับ เพราะคุณมีเวลาทำไปอีกนาน ก็คือได้สั่งสมบุญบารมีไปอีกนาน เลย คนที่อายุมากก็อย่าท้อ เพราะหลายท่านบรรลุะธรรมขั้นสูงได้ในเวลาไม่นานก็ยังมี เอาล่ะ อายุไม่เกี่ยงลงมือ ทำเป็นพอครับได้บุญแน่ๆ

      ผมเรียกแนวคิด การสั่งสมบุญบารมีจากการนั่งสมาธิ แล้วนำเราไปสู่ ภพ ภูมิ ที่ดีกว่ามาก นี้ว่า

       หนึ่งหยดน้ำ แลกกับมหาสมุทรทั้งโลก ครับ

  คุณว่าคุ้มไหม ลองกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ของผม ในรายละเอียดนะครับ

     สำหรับทางโลก ก็แนวคิดเดียวกัน เคยได้ยินคตินี้ไหม

      ลำบากตอนต้น   สบายตอนปลาย 

      เมื่อย้อนกลับมาพิจารณา แล้ว มันก็คล้ายกับ แนวคิอ หนึ่งหยดน้ำ ของผมนั่นล่ะครับ ดังนั้น การจะเป็นคนที่ ทำสมาธิ แล้ว ทำสิ่งที่เรียกว่า หนึ่งหยดน้ำ แลกมหาสมุทรได้นั้น เราต้อง จัดการชีวิตในชาตินี้ให้ดีที่สุดก่อนด้วย นั่นคือ ยอมที่จะ ลำบากตอนต้น เพื่อ สบายตอนปลาย

     จริงๆ แล้วจากประสบการณ์ในชีวิต ใครก็ตามที่ยอมลำบากตอนต้น จะเริ่มสบายๆ ภายหลัง กันทั้งนั้น ซึ่งบางที ก็เดิอนต่อไป ปีต่อไป นี่เอง ไม่ต้องรอนานๆ หรอกครับ หรือ จะเปลี่ยนเป็น

     ยอมลำบากตอนต้น เพื่อ สบายตอนหน้า   ก็ยังได้

      ดังนั้น เราควรมีนิสัย พุ่งเข้าใส่ความลำบาก และ สั่งสม สิ่งทีควรสั่งสม อดเปรี้ยวไว้กินหวาน นั่นคือ ยอมลำบากหน่อย ในช่วง ไม่กี่เดือน กี่ปี แล้ว ถ้าเรามีวาสนา อายุยืนยาว ก็ค่อยมาเก็บเกี่ยวดอกผลในตอนนั้น ตอนที่ >>>

    เวลาในอนาคต กลับกลายมาเป็น ปัจจุบันของเรา 

     ผู้ปฏิบัติธรรม จึงควรเป็นผู้ได้สติหยั่งรู้ สภาพธรรม หลังจากได้เริ่มปฏิบัติสมาธิ คือ รู้ว่าควรมีสติอยู่กับปัจจุบัน และ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น อนาคตที่ดีที่สุดในชาตินี้ ก็จะเป็นของเรา ด้วยสตินั้น และ กำลังของสมาธิ ที่ช่วยเราในการสั่งสมบุญบารมี จะนำเราไปยัง เหตุการณ์ และ แหล่งที่ ที่ดีที่สุดสำหรับเรา เอง โดยไม่ต้องกังวลใจอะไรเลย

  ขอให้ทุกท่าน มีความสุข ในการปฏิบัติสมาธิ เพื่อโลกนี้ และ โลกหน้า 

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)



   


 

Monday, April 21, 2014

ความเหมือนทีแตกต่าง ของนักสะสม และ นักปฏิบัติธรรม

สวัสดีครับ

    เริ่มจากเรื่องทางโลก:

  นิทาน เรื่อง นักสะสมเหรียญกษาปณ์

   ในแต่ละวัน หลังจากซื้อของ รับเงินถอนตามปกติ นักสะสม คนนี้เขาจะเอาเหรียญที่ได้มา ดูๆ แล้วก็ใส่กระปุกไว้ แต่มีเหรียญบางแบบที่ เขาจะสะสมไว้ ด้วยความรู้ และ ประสบการณ์ หลายปีก่อนเขาได้ยินข่าวเรื่อง การออกเหรียญ 2 บาท และพบว่า เหรียญ 2 บาทปี 2548 มีจำนวนผลิตเพียง 4 ล้านเหรียญ กับ เหรียญปี 2550 ที่ตั้งยอดไว้ 200 กว่าล้านเหรียญ แต่ ก็มีการเปลี่ยนสีเหรียญ 2 บาทเป็นสีทองเสียก่อน

    ดังนั้นเขาและเพื่อนๆ นักสะสมเหรียญกษาปณ์ จำนวนมากจึงรู้ว่า    เหรียญ 2 บาท ปี 48 กับ ปี 50 หายากมาก  (ใครไม่เชื่อ เชิญลองครับ ให้เวลา 1 เดือนเลย ลองหาหนึ่งใน 2 เหรียญนี้ให้เจอ ฮ่ะๆๆๆ) อันนี้หมายถึงเหรียญ 2 บาทสีเงินนะครับ

     ผ่านไปนานปี ขนาดว่าพยายามคัด และเก็บ แต่เขาได้ เหรียญ 2 บาทดังกล่าว มานิดหน่อยเท่านั้น แต่ ถึงเวลานี้ อยากจะหาไว้สักเหรียญ ก็ยากแล้วครับ แม้เขาคนนั้นจะมีเหรียญอยู่นิดเดียว แต่ก็เป็นหนึ่งคนในประเทศไทย ที่ได้ครอบครองเหรียญหายากนี้ล่ะ อ้อจุดเด่นของเหรียญ 2 บาทนี้คือแม่เหล็กดูดติดครับ
แจ่มไหมล่ะ?

      กลับมาสู่เรื่องธรรมะ:

      นิทานดังกล่าวข้างต้นเป็นธรรมชาติ ของโลกครับ ยังมีเรื่องราว อีกมาก ที่คล้ายๆ แบบนี้ และ ยังมีอย่างนี้ตลอดไป แน่นอน ในทางธรรมะ เทียบได้กับอะไร

      1.การศึกษาพระธรรมตามพุทธวจนะ คือตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน ก็คล้ายๆ กับ การศึกษาถึงเนื้อหาว่า เหรียญอะไร ออกปี ไหนจำนวน เท่าไร จนพบจุดสำคัญ ว่าเหรียญใดมีคุณค่าน่าสะสม ก็เหมือนเราได้ พบ อริยสัจ 4, การทำสมาธิ อะไรในแนวนี้

      2. ต่อมา เรามีความรู้ในข้อธรรมมากขึ้น ก็เริ่มปฏิบัติ และ บอกบุญคนรู้จัก สร้างศรัทธา ให้พวกเขาเหล่านั้น แต่ตัวเรา ก็พยายามปฏิบัติไม่ลดละ งานทางโลกก็ทำ ขณะที่ งานทางธรรมก็ไม่ล้มเลิก ล้มลุกคลุกคลาน บ้าง ก็ไม่เลิกทำ  

           อันนี้ก็เหมือนการสะสมเหรียญของนักสะสมคนดังกล่าว เขารู้ข้อมูลแล้วก็เริ่มเก็บเหรียญ แต่ก็บอกเพื่อนๆ คนรู้จักไปด้วย เพียงแต่ บางคนหัวเราะ บางคนฟังเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร
เขาก็สะสมไป พบปัญหาบ้าง บางทีรอเป็นปีๆ กว่าจะได้สักเหรียญก็มี

     3.  จนวันหนึ่ง ผ่านไปนานปี นักสะสมก็พบว่า มีประกาศต้องการเหรียญ ปี 48 กับ 50 กันใหญ่ เริ่มเห็นพ่อค้ามากว้านซื้อยกล็อตกันบนเว็บ เพราะจะเอาไปเก็งกำไร แล้วเหรียญก็เริ่มหายไปจากสารบบ แทบหาตามร้านค้า จากการซื้อของ หมุนเวียนไม่ได้เลย หรือ หาไม่ได้อีกเลย ทันใดนั้น และ จากนี้ตลอดไปเหรียญ ปี 48 กับ 50 ก็ได้กลายเป็นเหรียญหายากของไทย และของโลก ไปอีก 1 เหรียญ  ไม่ต้องมองเรื่องราคานะครับ มองแค่ความภาคภูมิใจที่จะเก็บเหรียญแบบนี้ไว้ให้ลูกหลาน ได้ชม นี่ ประเมินค่าไม่ได้นะ คล้ายๆ กับบรรดาเหรียญพระ นั่นล่ะครับ จริงๆ เหรียญต่างๆ ของเราก็มีพระนะครับ พระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยนั่นเอง

           การปฏิบัติธรรมะ ก็คล้ายๆ กัน คือ เราศึกษามาระยะหนึ่ง ก็พบว่า ดี ก็บอกต่อ แต่เราบังคับใครให้เชื่อไม่ได้ แม้จะเห็นว่า ชีวิตนี้สั้นนัก เวลาไม่ใช่ข้ออ้างในการสั่งสมบุญบารมีตุนไว้ในชาตินี้ และ ชาติหน้า แต่เราบังคับใจใครไม่ได้

           ตัวเราก็เร่งทำไป ผ่านอุปสรรคกับจิตใจนี้มามาก และต่อไปก็ต้องมี แต่ เราก็เห็นผลเลิศที่รออยู่ในวันหน้า ที่ไม่ไกล เพราะ ชีวิตนี้นั้นสั้นนัก นั่นเอง และยังเห็นการพัฒนาการเป็นลำดับ ของจิตคำพระท่านว่า ว่ามีจริงๆ เราก็ยิ่งศรัทธา จากนั้น เราก็ทำของเราไป ทำอย่างใจแจ่มใสสดชื่น ไม่ลดละ

            จนวันคืนผ่านไป เราต้องบรรลุยังจุดอันเป็นกุศล ระดับใดระดับหนึ่งเป็นแน่แท้ เพราะตั้งใจทำ ตามอิทธิบาท 4 ถ้าขณะนั้น มีวาสนาอายุยืน และสิ้นชีวิตลง เรามี สุขคติ เป็นที่หมายก็ย่อมเป็นของแน่
แต่ คนอื่นที่เราเคยบอก เคยชวนล่ะ เมื่อถึงวันแล้ว นาที ใกล้ดวงจิตสุดท้ายลอยล่อง ไปชาติภพหน้า ในภาวะที่จิตใจอ่อนลงเหลือเกิน เกิดมีนิมิตร้ายขึ้นมาจะเอาอะไรมาต้าน คงหวังอบายเป็นแน่แท้

          เทียบให้เห็นภาพก็ เอาตอนมีชีวิตนี่ล่ะ  เคยดีใจมากๆ ไหม  ตอนนั้นใจเป็นอย่างไร
 โลกนี้ดีมาก น่าอยู่ จนไม่อยากเชือว่า ต่อมา อีก ปี หลายปี สิบปี ยี่สิบปี จะมีเรื่อง ทุกข์มากมาย
จนเบื่อโลก จิตจะหดหู่ แต่ต่อมาชีวิตก็เริ่มปรับตัวได้แล้วก็มีชีิวิตมาได้

            ไอ้ดวงจิตสุดท้ายตอนเสียชีวิตนี่ล่ะครับ คล้ายๆ กัน แต่กำลังมันอ่อนมาก สิ่งที่แวบเข้ามา มันทานไม่ค่อยได้ เหมือนตอนมีชีิวิตนะครับ เกิดแวบมาเป็นทุ่งหญ้า ต้นไม้ นี่ เกิดเป็นสัตว์มี % สูงมาก
ทำอย่างไร ให้ดวงจิตมันมีกำลังแรง ต้านนิมิตร้ายๆ ได้ ก็ด้วย กุศลสิครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้

    อามิสบูชา หรือ ปฏิบัติบูชา ท่านมีเวลาทำเท่าที่ท่านพอใจ รีบออกกำลังจิตกุศลไว้ครับ ถึงวันจะได้ไม่มีความหวาดผวาใดๆ มีแต่จิตอันเกษม จริงไหม? อ้อแถมอีกข้อ อย่าลืม ลด ละ เลิก อกุศล และ สร้าง กับ รักษากุศล ขอให้ทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดชีวิตครับ พบกันในเส้นทางแห่งธรรมะครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

พระธรรมจากพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สวัสดีครับ

   ไม่นานมานี้ ผมได้ทำความสะอาดห้องและพบ กล่องเก็บของที่วางทิ้งไว้นานแล้วของผมเอง ก็ลองเปิดดูในนั้น มีหนังสือเล่มเล็กๆ สีน้ำเงิน หน้าปก โปรยด้วยอักษรคล้ายๆ พู่กัน เขียนว่า

          "ชีวิตนี้สำคัญนัก"

   พอดีเห็นแล้วก็สะดุดใจมาก เพราะในระยะนี้ มีแนวคิดเรื่อง ชีวิตนี้สั้นนัก มักจะคุยกับผู้ใหญ่ที่นับถือ และ เขียนในบทความ ว่า เทียบไปแล้ว ชีวิตคนเอาอย่างมาก สุขภาพดีๆ จริงๆ นะครับ 120 ปี นี่ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ เราชาวพุทธ รู้ว่า ตายไปต้องเวียนว่ายอีกนานแสนนาน ไปดี ก็ดีไป ไปอบายนี่ เซ็งสุดๆ จริงไหม

       จากนั้นเมื่อเห็น พระนาม ของผู้เขียนก็เกิดแรงศรัทธาอย่างยิ่ง เพราะเป็น งานพระนิพนธ์ของ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นพระ ที่ผมนับถือมากพระองค์หนึ่ง

        เมื่อเปิดเข้าไปอ่านบทแรก ก็ปลาบปลื้มใจบอกไม่ถูก เพราะมี วลีคล้ายๆ แบบนี้ว่า (ผมขอถอดความมาเรียบเรียงใหม่ แบบเล่าจากความจำนะครับ)

      "ชีวิตนี้สำคัญนัก เพราะว่า ชีวิตนี้สั้นนัก"

        แบบนี้กระผมผู้กำลังมีศรัทธาในความเชื่อเรื่อง ตายแล้วเกิด หรือ วัฏสงสาร จะไม่ให้ ปลาบปลื้มได้อย่างไร ทว่า ผมได้รับแนวคิด จากหนังสือเล่มนี้ มาเติมเต็ม เตือนสติของผม ให้เชื่อว่า ชีวิตนี้สั้นนักมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อ พระองค์ ทรงเน้นเรื่อง ชาติที่ผ่านมาด้วย แนวความคิดจะเป็นแบบนี้

   ..เมื่อเทียบชีวิตในชาตินี้ กับชาติก่อนที่ผ่านมา จนนับไม่ถ้วน หาจุดเริ่มต้นมิได้ ...
เทียบกับชีวิตในชาตินี้ของคนเรา  ชีวิตในชาตินี้ย่อมสั้นนัก...

      ผมลืมคิดไปครับ นึกถึงว่า มีชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า ผมศรัทธาและเชื่อตามนี้ อย่างมั่นใจ แต่เน้นเรื่องชาตินี้ กับ ชาติหน้ามากจนเกินไป คือ คิดเพียงครึ่งเดียว พอกระผมมาได้อ่านพระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน ทำให้กระผม ได้รับการเติมเต็ม ครับ จนครบรอบของ สัมมาทิฐิ ตามที่ควรเป็น

      ท่านยังทรงแจกแจงให้เห็นอีกว่า

       กรรมดี ย่อมให้ผลดี เสมอ และ
       กรรมชั่ว ย่อมให้ผลชั่ว เสมอ

       จากนั้นทรงเน้นย้ำอีกว่า

      ผลที่ดีย่อมมา จากกรรมที่ดี
      ผลที่ไม่ดี ย่อมมาจากกรรมที่ไม่ดี

       และ

       ผลที่ดี จะมาจาก กรรมที่ไม่ดี ไม่ได้เลย
       ผลที่ไม่ดี ก็จะมาจาก กรรมที่ดี ไม่ได้เลย


 เท่านี้จบครับ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราต้องเชื่อตามนี้ และ แนวคิดเรื่อง ชาติในอดีตที่เราเกิดมาจนนับไม่ถ้วนนี่ล่ะ ที่มาทำให้ศรัทธาในข้อนี้ มีความเหนียวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

     นั่นคือ

   จากจำนวนภพชาตินับไม่ถ้วนในอดีตนั้น กรรมดี ไม่ดี ได้ส่งผลให้เราได้มาเกิดเป็น มนุษย์ และ ด้วยการมีการเวียนว่ายตายเกิดจริง และ กรรมตามมาส่งผลมีจริง นั่นคือ สิ่งที่ทำให้ คนเราต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันหมด หากกฏแห่งกรรมไม่มีจริง คนเราเกิดมาก็ต้องเหมือนกันหมดจริงไหม

    การที่คนไม่ดี เจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่กฎแห่งกรรมไม่มี แต่ เพราะ กรรมฝ่ายดียังหนุนเนื่องเขาอยู่ และมีแรงกำลังมากกว่าต่างหาก แต่ ด้วยหลัก เหตุไม่ดี ย่อมให้ผลไม่ดี เขาต้องรับกรรมไม่ดีแน่นอน ไม่มียกเว้น ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า ไม่เร็วๆ นี้ ก็อีกไม่นาน ภายภาคหน้า

    ท่านทรงเปรียบให้คิดกันง่ายๆ ว่า จำนวนภพชาติที่คนเราเกิด ตาย เวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ นั้น มีนับไม่ถ้วน มีความซับซ้อน มากยากต่อการจะมานั่งวิเคราะห์ คล้ายๆ กับ การเขียนหนังสือ
เริ่มแรกเราเขียนไป 1 หน้า จากนั้นเขียนทับลงใบในหน้าเดิม เขียนทับแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนดำพรืดไปหมด ท้ายที่สุดก็ไม่อาจรู้ได้ว่า กรรมใด ส่งผลมาตอนไหน อย่างไร

      ผมลองนึกตาม เขียนลายเส้นเป็นตัวอักษร สมมติว่า เขียนบันทึกไดอารี ของทุกวัน ใน 1 ปี เอาแค่นี้เขียนลงในหน้าเดียวทับๆ กันไปเรื่อยๆ งงสิครับ มันคงเห็นแต่ลายเส้นทับๆ กัน อ่านไม่ออกแน่ๆ เห็นภาพทันตาเลย สาธุ สาธุ สาธุ

     ท่านยังทรงนิพนธ์ไว้อีกว่า ข้อดีของกรรมคือ  พอจะคิดย้อนกลับไปได้ ว่าในอดีตคนแบบนี้ๆ ทำสิ่งดีหรือไม่ดีมา โดยดูจากผลที่กำลังสำแดงอยู่ เช่น

    คนนี้มีแต่ความสุข พบความสำเร็จ ชีวิตดี  แบบนี้ คือ ทำกรรมดีมาจำนวนมาก หรือ มีกำลังของกรรมดีส่งผลให้เขาอยู่

     ขณะที่กรรมไม่ดี ก็จะส่งผลในทางตรงกันข้าม

    ท่านยังเน้นเรื่อง การให้อภัย ไม่จองเวรกัน และ การขออภัย ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอีกด้วย
ซึ่งผมเชื่อ เพราะแนวคิดนี้ จำได้ว่า ผมได้ทำไว้เมื่อราวๆ 5-6 ปีก่อน ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ครับ ยิ่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิด เห็นคนจองเวรเรา ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็น เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ก็ได้คิดว่า ชาติก่อนเราทำเขาไว้เยอะ เขาจึงมาเอาคืน (ตามกติกา ว่าเขาไม่ได้) ซึ่งหากไม่มีเวรกรรมต่อกัน อย่างไรเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้

    จึงมีเวรกรรมกัน ก็อโหสิกรรมไปเสีย ชาตินี้ ชาติหน้า จะได้ไม่ต้องจองเวรกันให้เมื่อย ครับ และกรรมไม่ดีที่ไปทำกับใครไว้ ทั้งตั้งใจ (ตามกิเลส) และ ไม่ตั้งใจ (เผลอไผลไม่รู้) ก็ได้แต่ตั้งใจ อุทิศส่วนกุศล และขออโหสิกรรม อย่างจริงใจ (ท่านทรงเน้นไว้) ผลก็อยู่ที่ เจ้ากรรมนายเวร ครับ เราทำส่วนของเรา เจ้ากรรมนายเวร ก็ทำส่วนของท่าน

     คิดแบบนี้ แล้วมันยุติธรรม เพราะ ทำอะไรไว้ต้องชดใช้ ขณะที่ชาตินี้ เรามีโอกาส รำลึก ขอโทษ ก็ทำสิครับ เรียกว่า เป็นชาติแห่งโอกาส กลับเนื้อกลับตัวครับ จากนั้น ก็เร่งบำเพ็ญเพียรสร้างกุศลกันมากๆ ครับ

    แนวคิดที่ควรเน้นกัน ที่จดจำไว้แล้ว จะจำง่ายๆ คือ
 สัมมาวายาโม หนึ่งในมรรค มีองค์ 8 นั่นคือ  

             หมั่น ลด ละ เลิก อกุศลกรรม   ขณะที่
             หมั่น สร้าง กุศลกรรมใหม่ และ รักษา กุศลกรรม เดิมไว้

   แบบนี้ จำไม่ได้ ก็ไม่ไหวนะครับ ง่ายสุดๆ แล้ว จำได้ ต้องทำ ทำไป จาก วัน เป็น เดือน เป็น ปี เป็นหลายสิบปี รู้ตัวอีกที ตุนกุศลกรรมไว้จังเบอร์ ก็สบายไปสิครับ เรียกว่า สวรรค์เปิด ปิดอบายกันล่ะ
แล้วจะทำกุศลแบบไหนดี  ผมในฐานะผู้พอมีความรู้มาบ้าง ขอแนะนำ กว้างๆ อย่าถือเป็นตำรานะครับ
ของแท้ ต้องผู้รู้ หรือ พระนะครับ ผมแค่ บอกแบบกว้างๆ

      1.อามิสบูชา คือ ทำกุศลด้วยสิ่งของ กำลัง เป็นต้น
       2. ปฏิบัตืบูชา คือ การบำเพ็ญสมาธิ มี 2 นัย คือ  แบบสมถะ และ แบบวิปัสนา
            ซึ่งข้อ 2 นี้พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญครับ

   ก็ดีทั้งสองข้อ ลองศึกษากันดู ครับผม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, April 17, 2014

ตอบปัญหาธรรมะ โดย ท่านหลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ เรื่องแนวทางการทำสมาธิให้ยิ่งขึ้นไป

สาธุ สาธุ สาธุ

                                              ติดตาม คำเทศนาเพิ่มเติมในหลากหลายหัวข้อ
                                               ได้ใน Youtube.com

 ปล. ช่วยแชร์กันให้มากๆ ครับ นับว่าเป็นการ ให้ธรรมะเป็นทาน อย่างยิ่ง ขออนุโมนา
        เจ้าของคลิป และ รายการด้วยครับ

ด้วยจิตนอบน้อมและคารวะ
คุณบอลล์

แนวทางปฏิบัติธรรมแบบถูกวิธี เทศนาโดย หลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ

สาธุ สาธุ สาธุ

                                           ติดตามคลิปอื่นๆ ได้จาก Youtube.com


Wednesday, April 16, 2014

สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ คืออะไร เทศนาโดย หลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ

สาธุ สาธุ สาธุ

   
                                          โดย ท่านหลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ
                                               (ฟังธรรมคลิปอื่นๆ ได้บน Youtube.com)

กายคตาสติ เทศนา โดย ท่านหลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ

สาธุ สาธุ สาธุ

                                                        ปฏิบัติบูชา ในแบบ กายคตาสติ
                                                     โดย หลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ


การปฏิบัติบูชา และ การมีชีวิตอยู่ในสังคม ปัญหา หรือ ความท้าทาย?

สวัสดีครับ

       การที่คนเราได้มีโอกาส รับรู้ รับฟัง การมีอยู่ของ สิ่งที่เรียกว่า การปฏิบัติบูชา (อ่านความหมาย) และได้นับถือพุทธศาสนา ถือว่าเป็นวาสนายิ่งแล้ว และหากได้บำเพ็ญเพียร การปฏิบัติบูชา เช่นการ ทำสมาธิ ทั้ง สมถะ และ / หรือ วิปัสนา ก็ยิ่งเป็นวาสนายิ่งขึ้นไปอีก

       เพราะการปฏิบัติบูชา นัยหนึ่งคือการช่วยสืบอายุพระศาสนา โดยเราทำสมาธิตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน และ ปฏิบัติตามข้อธรรมของพระองค์ นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านได้ยกย่องการปฏิบัติบูชานี้ไว้มาก จึงไม่ต้องมัวถามเรื่อง บุญกุศล ว่าจะมากล้นเพียงใด

        ความสุขในโลก ในระดับทั่วไปอย่างผมและคุณผู้อ่าน เรามีความสุขจากอะไร ลองตามผมมานะครับ

     โลกนี้ ในทางศาสนาอาจเรียกว่า มัชฌิมาโลก หรือ โลกกลางๆ  ที่พระท่านว่า ไปไหนก็ได้ แต่ทุกคนบนโลก ที่เป็นคน มีสิทธิเลือกว่า จะทำดี หรือ ทำชั่ว จริงๆ แล้ว เป็นโลกที่บำเพ็ญเพียรได้ดี คือ ทำได้ตั้งแต่ สามารถเปลี่ยนตัวเอง จากสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปเป็น พระอรหันต์ ผู้พ้นจากวัฏสงสาร ไปจนเปลี่ยนตัวเอง ไปคนละด้าน คือ ลงนรกขุมต่ำสุดและลึกสุด ทรมานนับปีไม่ได้ ก็ยังได้ หรือกลับมาเป็นคนอีก หรือ เป็นเปรต อสูรกาย เป็นเทวดา พรหม ฯลฯ

      เรียกว่า เกิดเป็นคนแล้ว คุณมีอิสรภาพมากแล้วครับ อย่ามัวแสวงหาตัวเองอยู่เลย เพราะนั่นคล้ายๆ กับคุณคิดว่า มีชาติเดียวแล้วสูญ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะคนกลับชาติมาเกิด ระลึกชาติได้ และชี้คนบอกชื่อได้ถูกหมด มีให้เห็นทั่วโลก แค่ข้อนี้ก็ไม่น่า สงสัยแล้วนะครับ

       เมื่อเรามาเกิดบนโลก สำหรับผม ผมมองว่า มันคล้ายๆ กับเป็นที่ให้เรา วัดใจครับ ว่าตัวเราแท้ๆ เป็นอย่างไร เป็นคนไม่เอาอะไรเลย เป็นคนเฉยๆ เป็นคนเอาแน่ไม่ได้ เป็นคนกัดไม่ปล่อย โอยสารพัด โดยมีด่านต่างๆ มาให้เล่น ให้ผ่านตลอดชีวิต จนดวงจิตสุดท้าย จึงได้ได้ผลสอบ

        เมื่อเรารู้ทัน ตามธรรมะของพระพุทธเจ้า เรายังประมาทก็ใช่ที่ มาเร่งปฏิบัติบูชากันดีกว่าครับ ทำยากไหม เจ้าปฏบัติบูชานี่น่ะ ผมคิดว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

         ผมขอเล่าประสบการณ์เร็วๆ นี้ให้ฟังกัน

      อยู่ ขณะที่ผมกำลังล้างภาชนะหม้อต้มอย่างหนึ่ง ขอบด้านในที่โรงงานพับซ่อนไว้ ซึ่งคมจริงๆ มันบาดนิ้วผม ลึกถึง 2  นิ้ว และเลือดสาดเลย ออกมาเยอะมากผมรีบฉีดน้ำล้างแผล แล้วพันผ้ากดแผลไว้แล้วรีบไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ตกใจมาก แต่มีสติพอที่จะคว้ากระเป๋าเงินและบัตรต่างๆ ไปด้วย

      นาทีสุดท้ายก่อนมันจะบาดมือผม ผมยังคิดว่า เดี๋ยงล้างเสร็จ เปรมกูล่ะ อยู่ในใจเพราะจะต้มสุกี้กินให้สบายใจเฉิบ พร้อมดูหนังที่ชอบ เอนหลังสบายๆ อีก 1 วินาทีต่อมา โดนบาดเป็นแผลลึกและยาว เลือดออกเหมือนน้ำ ตกใจมาก... นี่ล่ะไม่เที่ยง

      ไปถึงโรงพยาบาลมีผู้ช่วยพยาบาลมาทำแผลเรียบร้อย รออีกพักใหญ่คุณหมอมาก็ตรวจและวินิจฉัยว่า ต้องเย็บเพราะแผลกว้างจริงๆ งานนี้ 10 เข็ม เชื่อไหมครับ เมื่อกี้ยังจะนั่งดูหนังกินสุกี้ต้มเองอยู่เลย

      และจากวันนั้นผมต้องไปล้างแผลทุกวัน ติดๆ กัน 7 วัน โดยไม่ได้กลับไปพักร้อนที่บ้าน และพอถึงนัดคุณหมอให้ต่ออีก 5 วันเพราะแผลยังบวมกว่าจะได้ตัดไหม

      ผู้อ่านเชื่อไหม ผมซึ่งศึกษาธรรมะมาเรื่อยๆ นั่งสมาธิมาเรื่อยๆ ได้คิด 3 เรื่องในวันนั้น

    1.ผมยังมีศรัทธาในพุทธศาสนาเต็มเปี่ยมจริงๆ เพราะไม่มีคิดว่า ทำบุญไหว้ำพระแล้ว จะหนังเหนียว อะไร ก็เหตุปัจจัย มันครบ คือ เนื้อโดนของมีคม และมีแรงกระทำมากพอ มันก็บาด

    2.ฝึกสมาธิ ก็มีสติ ผมมีเอกสารพร้อมตัดประกันสบายๆ ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา เพราะลืม จะเอาประกันต้องมีบัตร และขอตรวจบัตรประชาชนด้วย และคว้าเงินไปอีก 7000 เผิื่อเหนียว และทำแผลเบื้องต้นห้ามเลือดอีกต่างหาก

   3. ผมปลงตัวเอง ไม่นึกจริงๆ ว่ามันจะเกิดแบบนี้ได้ กำลังจะสบายๆ เชิ้บๆ อยู่แท้ๆ มาได้ไงว่ะ คำว่า
        อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผุดออกมาจากใจเห็นกันตรงนั้นจริงๆ  ไม่เที่ยงหนอๆๆ

   ผมเลยคิดว่า นี่เป็นแบบนี้ ยังคิดได้ มีโอกาสรีบ กระทำปฏิบัติบูชาสะสมไว้ดีกว่ากู (ในความคิด) ชีวิตเราไม่เที่ยงจริงๆ  ผมตัวใหญ่ เล่นกล้าม อ่านหนังสือมาก เรียนค่อนข้างสูง จะมีอีโก้บ้าง แต่ไม่มากอะไรตามหลักคนปฏิับัติธรรม วันนั้น เลิกหมดครับ เพราะ ท้ายที่สุด

     กูก็เนื้อหุ้มกระดูก  มึงก็เนื้อหุ้มกระดูก

   จะเก่งมาจากไหน ไอออน แมน, ธอร์, ฮัล์ค หรือ ซุปเปอร์แมน ยอดคนมาจากไหน ก็เนื้อหุ้มกระดูก แตกต่างกันเพียง บุญวาสนา เท่านั้น

    ผมได้คิดแบบนี้จริงๆ  เราทำนั่นได้ ทำนี่เก่ง อันนี้เรารู้ อันนั้นคนนั้นไม่รู้ ทำอันนี้ให้คนเห็นว่าเราเก่ง หรือทำไว้เฉยๆ มึงมาเห็นเองจะได้รู้ว่ากรูไม่ธรรมดา หรือ อะไรต่างๆ ที่คิดออกไปข้างนอก ว่าสังคม หรือ คนอื่นคิดอย่างไร หากเราทำแบบนี้   ผมไม่สนมันเท่าเก่าแล้ว เพราะ

   เพราะกูนี่คิดถึงเรื่องนอกตัว มากเกิน จนลืมไปว่า กูนี่ ต้องตาย และคนอื่นต้องตาย กันทั้งนั้น
นี่กูเสียเวลา ทำอะไรจมและลึกเกินไปหรือเปล่าว่ะ

    ผมคิด...

   จึงเริ่มหันมาคิดถึงตัวเอง ผมเป็นคนพุทธ เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด และไม่ใช่คนพุทธที่เชื่อเท่านั้น ฮินดู และ อีกหลายศาสนาก็เชื่อ เมื่อเราเชื่อตามนั้น ต้องถามต่อไป ตายแล้วไปไหน?

    ชีวิตคนเราสั้นนัก ผมคิด ดังนั้น ต้องไม่ประมาท ต้องเร่งสั่งสมบารมี บั้นปลายเป็นอย่างไร ไว้ก่อนเพราะมันต้องตายทุกคน แต่วันนี้เราเตรียมตัวหรือยัง

   -รู้ว่าไม่กินข้าวจะหิวตาย  เราก็รีบกิน เพราะแต่นึกถึงตอนหิวจนมึนหัว ก็สยองแล้ว
   -รู้ว่าไม่อาบน้ำจะตัวเหม็น คนไม่คบ เราก็อาบกันทุกวัน
   -รู้ว่า ไม่ทำงาน ไม่มีเงิน ก็ขยันทำงาน หาเงินมาเลี้ยงชีพและครอบครัว
   -รู้ว่า ไม่กินน้ำจะหิวน้ำ ก็หาน้ำมากิน

   แต่รู้ว่าจะต้องตาย และเชื่อเรื่อง ชาติหน้า การเวียนว่ายตายเกิด ยังประมาทกันอีกหรือ?

   แต่ผมต้องทิ้งโลกจริงเพื่อไปปฏิบัติธรรมไหม นี่คือสิ่งที่คิดต่อมา ก็ได้ลองทบทวนดู ก็พบว่า มันต้องทิ้งตรงไหนหว่า สมัยพุทธกาล คนตั้งเยอะแยะที่บรรลุธรรม หรือ ปฏิบัติธรรม หรือมีชีวิตอย่างมีความสุขหลังฟังธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ต้องเป็น พระทุกคนนี่ครับ

    ดังน้ั้น ในทางโลก อะไรที่ต้องรับผิดชอบ ต้องทำไปครับ อย่าทิ้งโลก ให้ธรรมะให้อยู่กับโลก แบบยึดธรรมะจริงๆ ไม่เลี่ยงบาลีก็พอแล้วครับ
 
  อธิบาย: ต้องเข้าใจนะครับ พระที่บวชนั้น เป็นมหากุศลไม่เรียกว่าทิ้งโลก คนละเรื่องกัน เป็นการสืบพระศาสนา เป็นทางอันประเสริฐ แยกให้ถูกนะครับ 
             เราฆารวาส ยังมีภาระ ต้องรับผิดชอบให้เรียบร้อย หากใจคิดจะบวชก็ขออนุโมทนา เมื่อจิตเอาจริงแล้ว รับผิดชอบภาระต่างๆ แล้ว ก็เรื่องของเราจริงไหม? เพียงแต่ เป็นฆารวาส อย่ามีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่มีแต่กุศลให้กับตัวเราทั้งชาตินี้และขาติหน้าแท้ๆ ...สาธุ

     พอนึกต่อไป การนั่งสมาธิ หรือ การปฏิบัติบูชา อันเป็นหนทางหนึ่งในการสั่งสมบารมีสำหรับชาตินี้และชาติหน้านั้น ก็ไม่ได้ใช้เวลา นานจนเบียดบังเวลาทำงานที่ตรงไหน ผมมีแนวคิดส่วนตัวดังนี้

    -ระดับเจ้าหน้าทีปฏิบัติการ   ทำงานเต็มเวลา และ เคลียร์งานให้เต็มกำลัง   ถือเป็น อามิสบูชา
      ยามว่าง กลับบ้าน  นั่งสมาธิ สวดมนต์  หรือตอนเช้า หรือ ทำเช้าเย็นก็ได้ ใครบอกว่าทำไม่ได้

    -ระดับผู้บริหารระดับ "กลาง"  สั่งการมากขึ้น มีห้องส่วนตัวเป็นส่วนมากในการทำงาน ก็ใช้เวลาว่าง
      พิจารณากาย เช่นกระทำ กายคตาสติ หรืออะไรอื่น ตลอดวันยังได้  ใครห้ามล่ะครับ

    -ผู้บริหารระดับ  "สูง"  หลายคนเอาเวลาว่างไป โน่นนี่ เช่นตีกอล์ฟ นัดเพื่อนฝูงคุย ก็นี่ครับ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเลย วัดพุทธ ในประเทศพุทธศาสนา ยังต้องหากันอีกหรือ ประเทศไทย ที่ 1 อยู่แล้ว วัดเปิดตลอดวันครับ ไปปฏิบัติธรรมได้ ไปฟังธรรม เป็นต้น ท่านจะตีกอล์ฟ กันได้กี่ปีครับ

    ดังนั้นการปฏิบัติบูชา ไม่ใช่เรื่องของการต่อต้านโลก ไม่เอาโลก แต่สำหรับผม คือการใช้ธรรมะอยู่กับโลก แบบฝึกตน แบบขัดเกลา ดังที่ หลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ ช่องดาวเทียม วัดสังฆทาน

ท่านกล่าวไว้ เช่น

... หากเราโกรธ แต่ตัวเรานั้นพิจารณา กายคตาสติ การมองเห็นตัวเองอยู่ ก็ให้

     ...โกรธแต่ได้ในใจ เท่านั้น อย่าแสดงออกมา ทางกาย และ วาจา

ท่านยังกล่าวไว้ในโิอกาสอื่นอีกว่า กายคตาสติ พอมีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกจากตัว
โลภ โกรธ หลง ก็ให้ดึงกลับ ทำบ่อยๆ จนจิตมันเชื่อง

   หรือ ใช้สติเป็นทำนบกันไว้ แล้วจึงพิจารณาต่อ โดยการมองเห็นตัวเอง (กายคตาสติ)

 (ถ่ายทอดตามที่จำความหมายได้...ผู้เขียน)

    ผมลองใช้แบบลองผิดลองถูก ปรากฎว่าได้ผลพอสมควร ขณะที่เพียงเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่วัน คือ เราจะโกรธคนแบบนี้ๆ แต่เพราะอะไร เพราะเราชอบคิดว่า


     ไอ้หอกนี่มันทำกับเราแบบนี้...

  แต่ พอให้กายคตาสติ เห็นอยู่แต่ตัวเอง  มันกลายเป็น

    ไอ้หอกทำอะไร ...

     เรากำลังพิจารณากายคตาสติ สมมุติว่า ตอนนี้เห็น ศรีษะเราอยู่ๆๆๆๆ

   ไอ้หอกจะทำอะไร นั่นเรื่องภายนอกจริงไหม

   อ่านดีๆ นะครับ ไม่ใช่ทำแบบคนทั่วไป ที่ข่มใจ แล้ว ไม่สน  เพราะแบบนี้ ทนได้ก็ทนไปครับ

แต่กายคตาสตินี่ คือ ตอนนี้ผมสนใจตัวเอง จะดี จะร้าย จากข้างนอก ไม่ใช่ประเด็น แบบนี้มันเลย
ได้ผล ครับ ผมอาจจะอธิบายไม่ชัด ให้ลองถามครูบาอาจารย์ พระท่านกันนะครับ แต่วิธีนี้ผมทำแล้ว
เฮ้ย ได้ผลเดี๋ยวนั้นเลย ย้ำว่า ไม่ใช่การข่ม การไม่สนใจ แต่ ผมสนใจตัวเองอยู่ อย่างมีสมาธิครับ

     มันคล้ายๆ กับ คุณกำลังดูหนังในโรง น่ะครับ มีคนมาทะเลาะกันที่ถนนด้านนอก เราได้ยินไหม หากเราอยู่ที่ถนน เราก็มีกิเลส อยากดู มันด่ากันเรื่องอะไรจริงไหม แต่ เรากำลังพิจารณาตัวเราเองอยู่ แบบกายคตาสติ คือดูภาพยนตร์ของเราอยู่ แม้อยู่ใกล้ เสียงในโรงหนังมันดังกว่า เก็บเสียงด้วย เราก็อยู่กับสิ่งประณีตนี้ จะสนข้างนอกทำไม

    คำพระท่านว่า

          คนเราสนใจเมื่อได้รับความสุขจากกามคุณต่างๆ และยังไม่เคยพบสุขอันประณีตกว่านั้น ย่อมไม่มี
ปฏิปทาไปในทางธรรม (คือ ไม่คิดละกามคุณเดิม ที่เป็นของหยาบ)....

        การดูหนังในโรงที่ว่า คือ ความสุขอันประณีตกว่านั่นเอง พอออกมาจากดูหนังอ้าวเหลือแต่ถนน คนหายหมดแล้วเผลอๆ ไม่มีใครบอกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เมื่อ 10 นาทีก่อนมีคนทะเลาะกัน.....


     ดังนั้นคนเราจึงสามารถปฏิบัติธรรมในโลกจริงได้ครับ เพียงแต่ ต้องมีความตั้งใจ ใช้ปัญญา และปฏิบัติธรรมให้ได้ก็เท่านั้นเอง

      การปฏิบัติบูชานั้น ควรมีครูอาจารย์ หรือ พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คอยสอนนะครับ ย้ำไว้ และหลายคนทำแล้วอาจใจพลุ่งพล่าน อย่าไปตกใจครับ หาอุบายทางธรรมะ เข้าไปจัดการ โดยปรึกษาครูอาจารย์ไปด้วย เช่น ง่ายๆ เลย นิวรณ์ 5

     1.ลุ่มหลงในกาม
     2.พยาบาท
     3.ง่วงเหงาหาวนอน และ ขี้เกียจ
     4.ฟุ้งซ่าน
     5.ลังเลสงสัย

    ขณะนั่งสมาธิ หากเป็นแบบ ฌาน เช่น อานาปานสติ เป็นต้น เกิดแวบ เข้ามาในความคิด ก็ให้จับ 1 ใน 5 ข้อข้างต้น ตามจับเลยว่า นี่ เป็นตัวนี้ รู้แล้วดับไป เช่น

    นั่งไป ภาพสาวสวย ปรากฎในความคิด ก็ นี่ คือ ความลุ่มหลงในกาม แบบนี้ กันเราจากสมาธิ ไม่เอา
มันจะหายไป

     นั่งไป นึกถึงคนที่เราเกลียด นี่พยาบาท ไม่เอา

     นั่งไป ง่วง เบื่อ อยากเลิก นี่ ข้อ 3.

     นั่งไป คิดโครงการนี่ นั่น เอ้อต้องไปจ่ายค่าไฟ ต้องไปซื้อของ เดี๋ยวนัดคนนั้นนี้  เรียกว่า ฟุ้งซ่าน

     นั่งไป คิด เราทำสมาธิมาเป็นปี ไม่เห็นได้อะไร สมาธิได้บุญมหาศาลจริงหรือ ทำแล้วดีจริงหรือ
                   เรียกว่าลังเล

   คิดอะไรขึ้นมา หากยังจับได้ใน 5 ข้อของนิวรณ์ แปลว่า ต้องรู้ทันและขจัดออกไปครับ  ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการปฏิบัติบูชา สวัสดีครับ

    เอ้าวันนี้พอเท่านี้ครับผม พบกันบทความต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

 
       

Wednesday, April 9, 2014

เผลอไปเดี๋ยวเดียว จะครบปีแล้ว กับการเริ่ม สวดมนต์ ทำสมาธิ เราทำได้จริงหรือเนี่ย???

สวัสดีครับ

    ราวๆ กลางปีก่อน(มิ.ย. 2556) วิถีชีวิตของผม ต้องผ่านอะไรบางอย่าง ทำให้เบื่อๆ เซ็งๆ แล้ว เช้านั้นก็ไม่เหมือนทุกเช้า ลุกขึ้นมานั่งก็มองไปที่เตียงโซฟา ใกล้ๆ เตียงนอน คือมันพับเป็นโซฟาได้ มีกองหนังสือแบบห้องชายหนุ่มทั่วไป คือ รกๆ กองอยู่ๆ เห็นคู่มือ สวดมนต์ คติธรรมะ เล่มเล็กกว่าฝ่ามือวางอยู่ ก็หยิบมาอ่านและได้ข้อคิดดีๆ มากมาย ใจเริ่มสบาย แล้วผมก็เริ่มสวดมนต์ กันดีกว่า หลังจากที่หยุดมานาน

   ย้อนกลับไปราวๆ ระหว่าง พ.ศ.2545 -2547 ผมสวดมนต์ แทบจะเช้าเย็น ทุกวัน ทำติดต่อกันมากที่สุดยาวนานที่สุดในชีวิตของผม แต่เขินหน่อย ที่ว่า ผมหันกลับมาสวดมนต์เพราะ หนังอินเดีย ทำไม?

    ย้อนกลับไปอีก ราวๆ ปลาย 45 เข้า 46 ผมทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ในสถาบันแห่งหนึ่ง ก็มีนักศึกษามาฝึกงานหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กต่างชาติ ชาวอินเดีย ผมนึกสนุกบอกน้องคนนี้ว่า เข้าปีใหม่ปีนี้ นายมีหนังอินเดียแนะนำไหม เอามาสักเรื่องสิ มีไหม

     มีครับ น้องมันรับคำ

     ผมได้หนังเรื่องนั้นมา ก็ดูๆ แล้วเฉยๆ มันเหมือนหนัง เลียนแบบแรมโบ้ยังไงชอบกล ก็กดปิดไม่ดูต่อก็คืนหนังเขาไป แต่พอได้เรื่องที่สองมา มันประทับใจ เพลง การถ่ายทำ เนื้อหา เออ น่าสนใจกว่าที่เราคิดดูไปแซะ 6 รอบ แบบงงๆ

     จากนั้นก็สนใจและหาหนังอินเดียมาดูเอง ถามเขาไปเรื่อยจนรู้ว่า ต้องข้างห้าง ATM พาหุรัต นะนาย ก็ไปซื้อมาหลายเรื่อง เจ้านักศึกษาฝึกงานเห็นเราชอบ ก็เข้าทางหามาให้ยิืมดูอีกเป็นสิบเรื่อง จนกลายเป็นสาวกหนังอินเดียยุคใหม่ ไปโดยปริยาย

      ผมฟังฮินดีได้หรือ ผมฟังไม่ออกครับ แต่ ดู ซับไตเติ้ล ภาษาอังกฤษ ครับ สบายๆ เขาใช้ Plain English ครับ ผมเรียนมายากกว่านี้ ทำให้ เข้าใจเนื้อหาสบายไป

      แต่เมื่อราวๆ กลางมาปลาย 46 เริ่มมีค่ายหลังนำหนังอินเดียมาทำขาย ทั้งแบบมีลิขสิทธิ์ และ ไม่มี ผมเลย เปรม เลยครับ ซื้อมาดู ตามชอบ ตามแนวดาราที่เรารู้จักมาก่อน ซึ่งล้วนดารายุคใหม่ๆ ดังๆ ก็ซื้อเรื่อยๆ จนมีหนังเป็น ร้อยเรื่อง เชื่อไหม ไม่ได้บ้าหนังครับ แต่ชอบศึกษาแบบเจาะลึกครับ

     ดูจน ฟังคำฮินดีได้หลายครับ อย่าง Pahle แปลว่า ครั้งแรก Ajanabee แปลว่าคนแปลกหน้า มันเหมือนคำในกวี ก็นั่นล่ะครับ เพลงมันก็คือ กวี นี่ล่ะ ส่วนมากได้จาก คำร้องในเพลงครับ แล้วเทียบกับคำแปลอังกฤษ

     แล้วก็เลิกรากันไป ทำไม?  ก็โรตี โดน กิมจิ ตีแตกกระเจิง กลับมุมไบครับ มันเริ่มมีละครเกาหลีดังๆ เข้ามา ครับ ซีรี่เกาหลี ช่อง ITV นี่ดังมากกกกกกกกกกกกก  จนกระแสหนังอินเดียเริ่มหดหายไปเรื่อยๆ แต่ยังมีเห็น EVS กับ โรส นี่ล่ะครับ ที่มีการนำมาทำขายกันมาจนถึงวันนี้ จากหลายสิบมาเป็นคัดมาเป็นบางเรื่องครับ

    เอ้าพามายาวเลย จากหนังอินเดียเรืองหนึ่งเป็นหลายเรื่อง ผมเห็นในครอบครัวเขาจะมีคนสวมชุดขาว สวดมนต์ เช้า เย็น และนำถาด ที่มีไฟมงคล ไปวนให้สมาชิกในบ้าน เป็นการให้พร ดูแล้วก็ประทับใจ เออมันคลาสิคดี ดูไปก็มีแทบจะ ครึีงๆ ที่เป็นแบบนี้

     จนวันที่ประทับใจคือ ผมว่าคนที่เป็นแบบนี้ชีวิต มีแบบแผนดี ดูดีบอกไม่ถูก เลยคิดว่า ทำไมหนังไทยไม่มีฉากแบบนี้บ้าง มันออกจะดี ก็คิดว่า เอ้า เราชาวพุทธ ก็มีสวดมนต์นี่ทำไมไม่ทำเองล่ะ แล้วก็เริ่มสวดมนต์ไหว้พระมาแต่นั้น จำได้ว่า ทำได้ ราวๆ เกือบ 2 ปีครับ แล้วก็เลิกไป ด้วยสาเหตุใด จำไม่ได้

      แต่สิ่งที่ได้มาคือ สวดดีกว่าไม่สวด แน่นอน

      จนมารอบนี้ ผมก็จะมีทั้งสวดมนต์ และ ทำสมาธิ ต่อมาบางเดือนภาระมาก เหนื่อยล้า ก็ทำแต่สมาธิอย่างเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ครับ นั่งอยู่กับที่ นั่งทำเรื่องไร้สาระ ยังนั่งนานกว่านี้ นี่นั่งแค่ 30 นาที หรือชั่วโมง จะทำไม่ได้เชียวหรือ?

       ดูเหมือนง่ายใช่ไหม ฮ่ะๆๆๆ ลองนั่งก่อนเหอะครับ วันละ 15 นาที เอาให้ได้ 5 วันติด ค่อยสรุปครับ สิ่งที่ผมพบมาจากการนั่งสมาธิ เกือบ 1 ปี ในอีก 2 เดือนนี้ก็คือ

    1. หลายปีก่อน สมาธิเข้าง่ายมาก แต่ปัจจุบัน เข้ายากกว่าเดิม มันมีหลายปัจจัย ครับ ดังนั้น ใครเข้ามาปฏิบัติแล้ว รู้สึกง่าย อย่าทิ้งนะครับ จับแล้วทำไปเลย ผมใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะเข้าสมาธิแล้ว ง่ายและนิ่งเหมือนสมัยก่อน อย่าได้ประมาทครับ ทำดีกว่าไม่ทำ

    2. มาต้นปี พ.ศ.2557 นี้ ทำสมาธิแล้วอึดอัด แน่นๆ มาหลายเดือน แต่ไม่ย่อท้อ จนที่สุดต้องเริ่มหาข้อมูล ดูทีวี ว่าเราทำผิดหรือเปล่า เพราะของดีแบบนี้ ไม่ควรอึดอัด และก็พบว่า เราทะลึ่งเอง คือพอนั่งมาเริ่มชำนาญ ก็คิดไปเองว่า ต้องแบบนั้นแบบนี้ น่าจะดี แล้วไปกำหนดลมหายใจ ตามที่เราคิด ตามหลักการ (ของกูเอง) นอกครู ครับ  แต่นะมีวาสนา ดึงกลับมาได้ สรุปคือ แย่ที่สุด จงหายใจแบบธรรมชาตินะครับ อย่าไปคุมลมหายใจแบบของตัวเอง ต้องมีครูแนะนำนะครับ ระวังๆ พอกลับมาแบบธรรมชาติ เออ หายวันนั้นเลย โง่เพราะอวดฉลาดมานานราวๆ 2 เดือน

  3. ความรู้เดิมๆ จากการอ่านหนังสือ จากฟังคุณพ่อของผม เมื่อตอนเด็ก เริ่มกลับมาเรื่อยๆ คือ พบว่า สมาธิ มี แบบทำเพื่อจิตสงบ จิตนิ่ง เสวยสุขในองค์ฌาน ก็ ฌาน 1,2,3 และ 4 และอรูปฌาน 4 รวมเป็น
8 ระดับ พ่อผมเล่าให้ฟังตั้งแต่เล็กๆ และ เรื่องการพิจารณา ต่างๆ จนเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น ความรู้พวกนี้เริ่มกลับมา และจำได้หมายรู้ว่า ตอนเด็กๆ และตลอดมา ผมชอบนั่งสมาธิแบบ อานาปานสติ หรือ การระลึกถึงลมหายใจเข้าและออก ทำได้ดี ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย

4. ทำแบบข้อ 3. มาได้พักใหญ่ ก็ไปได้ยินในโทรทัศน์ ช่องวัดสังฆทานโดย  หลวงพ่อหลายท่าน (ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง) เรื่อง การเห็นตัวเอง  คุณเห็นตัวเองแล้วหรือยัง ได้ยินคำว่า อสุภะ ให้พิจารณาซากศพ และอื่นๆ เป็นคำที่คุ้นเคย เพราะชั้นมัธยมก็มีสอน พ่อเคยพูดให้ฟัง ในโยคะก็มีท่านี้

  "เห็นตัวเอง" เออ ปิ๊งเลย ผมลองนึกถึง ท้ายทอย  ผมตกใจ เออ เมื่อกี้ เราไม่เห็นว่ะ คือมันไม่ได้นึกึง ท้ายทอยเรา ไม่มีขา มันอยู่กับเราตลอด แต่เราไม่เห็น เฮ้ย เข้าท่าว่ะ  คิดประมาณนี้

  ก็คิดว่า คงเหมือนการเจริญสติ นั่นล่ะ ก็ลองทำบ้าง พบว่า มันทำให้เรา อยู่กับ เรามากขึ้น เพิ่งรู้สึกว่า ไอ้ที่สงบๆ นี่ ที่เราขัดเกลาตัวเองมานานแสนนาน ก็ยังมีกิเลส โคตรมากคล้ายเดิม แต่เหมือนมีอะไรคุมอยู่ แต่พอสติหาย กิเลสกำเริบ มันก็ไปหมดเหมือนเดิม เพราะเราเอาใจไม่ยุ่งกับทุกเรื่องที่เข้ามา นั่นเอง

  มันเหมือนง่ายแต่ ลองทำดูก็แล้วกัน ฮ่ะๆๆๆ


    บางทีใช้ธรรมะหลายหมวด หลายข้อ เข้ามาระงับสติไว้ ไม่ให้กำเริบไปตามกิเลส เพราะเบื่อน่ะ แต่เบื่อได้ไม่นาน เอ้าให้เลย 2 ปี แต่พอกลับมาจะ โลภ โกรธ หลง มันก็กลับมาเต็มๆ อีก มันเลยเหมือนสงบเป็นพักๆ และบางที ก็กลับถอยหลังไปยิ่งกว่าเดิม มันเหนื่อยนะว่าไหม

    จึงไม่แปลกที่คนปฏิบัติธรรม จะถูกปรามาส ว่าไม่เห็นจะทำได้เลย ก็จะทำได้ไงง่ายๆ ละครับ เพราะ โลภ โกรธ หลง สมัยนี้มันมีหลากรูปแบบ และไฮเทคเสียขนาดนั้น มันต้องมีแพ้ชนะกันบ้าง แต่ เราคือนักรบแห่งธรรม หรือ นักปฏิบัติธรรม จะให้ทิ้งเพราะแพ้ศึก ไม่มีทาง ต้องต่อสู้ต่อไปครับ

    จนมาวันหนึ่ง เริ่มสนใจ การเห็นตัวเอง ก็ได้ข้อมูลจากโทรทัศน์ช่อง วัดสังฆทานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า
มันคือการพิจารณาที่

    -ให้เห็นตัวเอง
    -อยู่ในบริเวณของตัวเอง อยู่กับตัวเอง จิตไม่ฟุ้งไปนอก
    -เหมือนเต่าในกระดอง
    -พิจารณา เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง
    -ทำได้ไหม ตลอด 24 ชั่วโมง เว้นตอนหลับนะครับ
    -อยู่กับเรา ปัจจุบันนี่ล่ะ อย่าไปสนว่า เขาจะอย่างไร อะไร ทำไม จิตออกไปก็ดึงกลับมาทำซ้ำ
    -ขณะพิจารณ เน้นภาวะปัจจุบัน หาก มีภาพอดีตขึ้นมา สติก็เคลื่อนแล้ว จริงไหม

และอื่นๆ อีกมากมาย

  สรุปคือ เห็นตัวเอง นั่นล่ะ

    พอเริ่มทำการทดลองแบบเห็นตัวเอง ก็ชื่นชมว่า มันเจ๋ง ครับ เอาว่าตอนนี้ใครอ่านอยู่ ลองคิดง่ายๆ นะครับ เห็นรูปทรงของร่างกายคุณจากศรีษะถึงเท้าไหม ว่ารูปทรงเป็นอย่างไร บางคนตกใจนะครับ พอเอาจิตมามองดัวเอง มันแปลกดีครับ

    แต่ผมยังเน้นฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติของผมเป็นหลัก จนเร็วๆ นี้ ได้ฟังธรรมเพิ่มเรื่อง กายคตาสติ ท่านว่า มีอานิสงส์มาก ได้ทั้ง ฌาน และ ญาณ ไปด้วยกันเลย ผมเองนั่งเพื่อ หลักการที่ผมเขียนไว้ในบทความก่อน ที่ว่า

        หนึ่งหยดน้ำ แลก มหาสมุทร

    คือต้องเริ่มจาก ศรัทธา ก่อนนะครับ ถามตัวเอง เราชาวพุทธ เรามีศรัทธาหรือยัง เมือมี ก็ใช้พละ 5 สิครับ เชื่อว่ามันมีจริง ตามคำสอน ก็ลงมือทำ

 พละ 5 ก็ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญาครับ

    ผมไม่ได้ไปเน้นเรื่อง จะได้คุณวิเศษอะไร หวังเพียงหลักการ หยดน้ำแลกมหาสมุทร เท่านั้นครับ ลองอ่านในบทความที่แล้วดูครับ

     เราก็ชอบนะ พระสูตร กายคตาสติ ทำ 1 ได้ถึง 2 คือ ทั้ง ฌานและญาณ เรียกว่าประหยัดเวลาได้ไหม
หลวงพ่อท่านยืนยันในการถามตอบในรายการ ว่าเป็นตามนั้น ขณะนั้นมี ญาติโยม โทรเข้ามาสอบถาม

   ญาติโยม แจ้งผลการปฏิบัติ แบบแนวทางอื่นๆ ก็ยังถือว่าอยู่ในพุทธศาสนา และเน้นว่า ทำให้จิตนิ่งดีมาก ถามว่าจะได้คุณวิเศษนั้นนี่ได้ไหม

    หลวงพ่อท่านตอบ โดนใจผมมาก ได้คุณวิเศษแล้วไงโยม นี่มันเรื่องเล็กจ้อย คนที่เป็นนักปฏิบัติเข้าผ่านกันมาหมดแล้ว มีได้ มีเสื่อม ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน จะปฏิบัติก็ต้อง เอาให้ถึงนิพพานสิโยม

    ญาติโยม บอกว่า เวลาทำแล้วจิตนิ่งดีมาก

   หลวงพ่อท่านบอกว่า  โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก

  (เล่าไปตามแนวเรื่องที่ได้ยินนะครับ ไม่ได้ถอดความมาแบบเป๊ะๆ)

  ประโยคที่ว่า โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก ทำให้ผม ได้คิดเลยครับ หลังจาก งมโข่ง มาเป็น 20-30 ปี จริงๆ ด้วย มันเชื่อมโยงกับ ความเหนื่อย กับอายุที่มากขึ้น ถึงจะเนียนแค่ไหน ถึงจะมีปัญญาเพียงใด ก็มีสิทธิ หลุดได้เสมอ หากคุณ ทำสมาธิไปในสาย สมถ หรือ สุขจากฌาน ลองนึกภาพนะครับ

      จิตนิ่งมานับสิบๆ ปี เกิดกามกำเริบ มันคิือ หนึ่งใน นิวรณ์ 5 จำได้ไหม ศัตรูร้ายของการปฏิบัติสมาธิเลย ข้อแรกด้วย จึงเกิด พระสึกไปแต่งกับสีกา ไง เห็นกันโต้ง

      จิตนิ่งมานับสิบๆปี ก็ยังโกรธจนลุกมา เตะ คนได้ ก็มี ผมนี่เคยเห็นคลิป 1 ที่คนที่มีชื่อเสียงมากๆ เหมือนจะย้ำว่า การแผ่เมตตาไม่ต้องแผ่ให้ตัวเองก่อนก็ได้ ซึ่งมันแย้งกับแนวทางของพุทธศาสนาเอง ผมยังงงๆ แต่วิทยากรอีกคน รวมทั้ง ผู้ดำเนินรายการก็ยังอุตส่าห์ชวนท่านกลับมาแบบอ้อมๆ ท่านก็ยังย้ำเหมือนเดิม แบบนี้ล่ะน่ากลัว

     แล้วคนเหล่านี้ก็ถูกสังคม วิจารณ์ไปต่างๆ นานาๆ ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่เห็นทำได้เลย ผมไม่โทษคนเหล่านี้ครับ เพราะอย่างน้อย ท่านได้เคยไปรบ มาแล้ว กับ นิวรณ์ทั้ง 5  คล้ายๆ กับ ทหารที่เคยไปรบ อย่างน้อย ยังเล่าเรื่องในสนามรบ ได้ดีกว่า นักอ่านเรื่องสงครามในห้องสมุดล่ะว่ะ จริงไหม? ขออย่างเดียวอย่าทำให้ศาสนาแปดเปื้อน ไม่ไหว ก็สึกเสียครับ อ้อมีอีกประเภท

     พวกมาปฏิบัติแล้วขี้โอ่ ผมเคยนั่งแท็กซี่ แล้วคนขับอวดภูมิรูู้เรื่องอภิญญา อะไรมาก มาย ย้ำอีกนะบอกว่า เขาตายไปจะได้เป็นพรหม อะไรไปโน่น บ้าทั้งเพ พรหมวิหาร 4 ยังไม่มี จะเป็นได้ไง ข้อ อุเบกขา
ทำตัวกลางๆ เอ็งขี้โอ่ขนาดนี้ พรหมสมาคม เขาไม่ให้เข้าหรอก

 
      ในรายการข้างต้น จากคลิป ที่ผมอ้างอิงไว้ วิทยากรท่านที่ดูเข้ารูปเข้ารอย ย้ำว่า ผู้ปฏิบัติควรเห็นได้จาก ความมีเมตตา มาก่อน ไม่มักโกรธ ผมยึดข้อนี้มาก่อนเลยครับ และ ขอเตือนนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า ปฏิบัติแล้วควรมี

        -จิตเมตตาที่เพิ่มพูน
        -ลดอกุศล เพิ่มกุศล
        -ไม่มักโกรธ
        -สำรวม ระวัง
        -จิตผ่องใสเป็นส่วนใหญ่
        -มีมารยาท
        -ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
        -พรหมวิหาร 4

8 ข้อข้างต้น เป็นอย่างน้อยที่ควรมี ผมล่ะทำได้หรือยัง ยังไม่ครบครับ แต่คิดว่ามันต้องมีแบบนี้ เพราะอะไร

หากคนจะชื่นชมเราเพราะขี้โอ่ เขาดูหนังแอ็คชั่น ฮอลลีวู้ดดีกว่าไหม
หากคนจะชื่นชมเราเพราะมักโกรธ เขาดูหนังนักเลงตีกัน ดีกว่าไหม

 เราไม่จำเป็นต้องใช้ความแปลก เป็นจุดขายในเรื่องธรรมะนะครับ

  แต่ถ้าคุณหันกลับมาทำสมาธิ แบบสาย วิปัสนา ผมแม้ยังไม่ได้สำเร็จอะไรเลย แม้แต่นิด ก็พบว่า มันลึกซึ้งและทรงคุณจริงๆ ครับ ทำไม?

   คือ จากประโยคที่ว่า โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก กับสิ่งที่ผมได้รู้ได้เห็นมา และอย่างยิ่งกับตัวเอง คือ มันนิ่งอยู่ได้ไม่นานจริงๆ เพราะคนมีท้อแท้ครับ ยังไงก็ต้องมี แล้วมันก็ทุกข์อยู่ในใจจะมากน้อยก็แล้วแต่กิเลสคนครับ ขนาดผมได้เรียนรู้มาค่อนข้างมาก ถูกอบรมสั่งสอนมา ปฏิบัติสายสมถะมา(เน้นธรรมะหมวดต่างๆ เป็นส่วนมาก) มากกว่า 20 ปี โดยเน้นข้อธรรมะ และ สมาธิแบบสมถะ ผมยังหลุดบ่อยๆ เลยครับ แน่ล่ะ ได้สมาธิเรื่องการทำงานอันนี้ได้ครับ คนทำสมถภาวนาย่อมดีกว่าคนไม่ทำล่ะ แต่เรื่องจิตผมก็สงสัยมานานแล้วทำไมมันมีช่วงหลุดเป็นระยะๆ เสมอมา และบางครั้ง เริ่มสงสัย ลังเลว่า ทำไปทำไม หากผลเป็นแบบนี้....

  อย่างไรก็ตามเมื่อมาพิจารณาแนวคิด ของ วิปัสนากรรมฐาน ก็พบว่า นีคือทางที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างน้อย มันทำให้เราเป็นคนดีแท้ๆ ล่ะ แม้ไม่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด เช่นว่า พระท่านสอนว่า

   ..ให้พิจารณาให้เห็นตัวเอง อยู่กับตัวเรานี่ล่ะ ถามว่า โลภ โกรธ หลง มีไหม มีแต่การพิจารณา จะทำให้เรามีพวกนี้น้อยลงไปมาก และ ให้ระวังว่า ในใจยัง โลภ โกรธ หลง แม้มี ก็อย่าได้แสดงออกมาทาง กาย และ วาจา....

    ถามตัวท่านเอง อยู่ใกล้กับคนแบบข้างต้น ท่านว่าดีหรือไม่ดี

   มันโดนใจผมเต็มๆ เพราะหากเรา ยังแสดง โลภ โกรธ หลง ออกมาทาง กายกับวาจา เรียกว่า ออกมา
นอกตัวเองแล้ว น่ะครับ มันก็พ้น การเห็นตัวเอง ที่เน้นการพิจารณาตนเอง จริงไหม มันเป็นหลักการที่สอดรับกันอย่างแนบสนิทจริงๆ

    ในวันนั้นพระท่านกล่าวประโยค โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก ท่านยังสั่งสอนอีกว่า ลองพิจารณาเห็นตัวเราว่าเป็นโครงกระดูกอยู่ตลอดเวลาสิ อย่ามองว่า นี่หญิง นี่ชาย นี่เรา แต่ให้มองว่า ข้างในน่ะโครงกระดูกทั้งนั้น......
 
     พอดีผมกำลังจะนั่งสมาธิตามโปรแกรมของผม พอรายการจบลองนั่งดูพิจารณาตามนั้นเลย เออเพิ่งนึกออก ข้างในใต้ผิวหนัง แกนของร่างกายเราเป็นโครงกระดูกนี่หว่า โครงกระดูกนี้หายไปไหนมาทำไมเราจำไม่ได้หว่า อ้อเพราะเรามัวหลงแต่เรื่องภายนอกมา 42 ปีนี่เอง โง่จริงๆ เรา

     เพิ่งจำได้ว่าเรามีโครงกระดูกเลยพิจารณาหัวถึงเท้า เท้าถึงหัวได้ 40 กว่านาที แบบงงๆ ทำไมเวลาผ่านไปเร็วมาก? แต่จิตมันสงบ กว่านั่งสมาธิแบบสมถะ ที่ทำมาหลายเดือนจริงๆ เออแปลกเว้ยเฮ้ย หลังจากนั้นอีก 2-3 วันก็พิจารณามาเรื่อยๆ จน เมื่อวันหนึ่ง ก็สลับกลับไปนั่งแบบ สมถะ คือ อานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก ก็เกิดปิติ ยังไม่ใช่ ปิติแบบจาก องค์ฌานนะ ผมยังไม่ไปไหนเลย แต่ปิติแบบประหลาดใจ คล้ายๆ กับการว่ายน้ำเป็นครั้งแรก ขี่จักรยานเป็นครั้งแรกประมาณนั้น คือ

        "ผมพิจารณาลมหายใจเข้าออกได้โดย ไม่มีจิตแวบ ออกไปคิดเรื่องภายนอกเลย ตลอด 30 นาที"

   โดยไม่ต้องพยายาม ตั้งสติด้วยซ้ำ มันเริ่ม ก็นิ่งเลย....นั่นเพราะอะไร

     อารมณ์มันจับแบบเดียวกับตอน พิจารณาโครงกระดูกครับ อารมณ์นั้นล่ะ แม้ไม่ละเอียดเท่าแต่ มันทำไปได้ คือ นิ่งแต่วินาทีแรกเลย ไม่น่าเชื่อ ขณะที่ ผมต้องใช้ความพยายาม ราวๆ 20 นาทีทุกครั้งในหลายเดือนที่ผ่านมา กว่าจะมีสมาธิแบบนี้ คืออยู่กับปัจจุบัน ในการนั่งแบบสมถะ

     มันจึงน่าทึ่งมากๆ อย่าเพิ่งไปหวังคุณวิเศษเลยครับ เอาแค่ วิปัสนา มันส่งผล ให้ สมถะ ขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ น่าทดลอง น่าสนุกจะตายไป จริงไหม ?

     คุณล่ะทำได้ไหม ได้ครับ แต่มันต้องลงมือทำครับ นี่ล่ะความท้าทาย ขนาดพื้นฐานแบบนี้ผมยังทึ่งขนาดนี้ แล้วที่เหลือล่ะ มันจะขนาดไหน จริงไหม ?

    ผมเรียกสิ่งนี้ว่า วิปัสนา ส่งเสริม สมถะ ครับ

     ขณะเดียวกัน ในศาสนา จะมีการสอนว่า คนเริ่มใหม่ๆ อย่าได้ละทิ้ง สมถะ เพราะปรากฎอยู่ใน มรรคมีองค์ 8 ไปหาอ่านกันเอง เพราะว่า สมาธินั้นส่งเสริมการทำงานใช่ไหม การที่คุณมีสมาธิ งานการก็ลุล่วงใช่ไหม แล้วหากเป็นสมาธิระดับฌานล่ะคุณว่ามันจะขนาดไหน จิตจะลึกซึ้้งเพียงใด จริงไหม ท่านให้ปฏิบัติ สมถะ แล้วใช้ สมถะ มาพิจารณา ในการทำสมาธิในแบบวิปัสนา ครับ เป็นเหตุเป็นผลกันดีมาก

    จึงอาจกล่าวได้ว่า

    สมถะ ส่งเสริม วิปัสนา และ
    วิปัสนา ส่งเสริม สมถะ      

  เสริมกันและกันครับ

  พระท่านยังกล่าวอีกประเด็นว่า การพิจารณา ต้องระลึกรู้ กำหนดรู้ และพิจารณา ข้อนี้ผมหลังๆ มาในการปฏิบัติตัวเอง เริ่มทำผิดทิศทาง คือ กลายเป็นไม่รับรู้ แล้วเฉยๆ พอกลับมารับรู้ ก็ทุกข์อีก แต่ไม่คิดมากเพราะมันขัดเกลามาจน ทุกข์น้อย และใจเย็นลงมามากแล้ว แต่ผมว่าผมทำ ลัดขั้นตอนเกินไปครับ

   ของแท้ต้องพิจารณา รับรู้ ต้องรับรู้ตามสภาพธรรม เช่น โกรธคือเรากำลังโกรธ ทุกข์ ก็เห็นว่าทุกข์ จากนั้นพิจารณา ไปตามหลักของวิปัสนาแบบนี้ แล้วค่อยลึกซึ้งไปถึงขั้น เฉยๆ ได้จริงๆ

   ในสายสมถะ การทรงองค์ฌาน จะมีสุขอย่างมาก จนเบื่อสุขทางโลก (ได้ชั่วขณะนั้นในองค์ฌาน) คนที่ทำได้บ่อยๆ ก็อาจจะหลงติดในฌาน ท่านว่า เบื่อแบบนี้ ก็มีประโยชน์แต่ไม่ใช่ของแท้

    ออกจากฌานมา ก็มีสิทธิ หลุดได้ทุกเมื่อ เรียกว่า เบื่อแบบไม่มีประโยชน์ แม้จะมีข้อดีก็ตาม

    แต่ในการ ปฏิบัติแบบวิปัสนา มันจะทำให้เบื่อ แบบมีประโยชน์ คือของแท้ เบื่อแล้วเบื่อจริง เพราะมาในทาง แม้ร่างกายตัวเองก็ไม่ปลื้ม คนเราหากละทิ้งความปลื้มในร่างกาย ตัวตนได้แล้ว ก็สุดๆ แล้วครับ
ขอนี้ท่านให้ เจริญ กายคตาสติ ท่านทั้งหลายลองต่อยอดกันเองนะครับ

   ย้ำว่า ไม่ว่า สมถภาวนา หรือ วิปัสนภาวนา ควรมีครูที่สอนให้ตามหลักพระพุทธศาสนา อย่างเคร่งครัดน่าจะดีที่สุดครับผม

พบกันใหม่ในบทความต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, April 3, 2014

คุณเชื่อกฎแห่งกรรมหรือไม่ คุณเชื่อการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ เชื่อแล้วควรทำอย่างไร?

สวัสดีครับ

   จากหัวข้อเรื่อง ของบทความ หากคำตอบคือ เชื่อ ก็ลองมาอ่านกันต่อครับ

    ถ้าคำตอบคือ เชื่อ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติธรรม เราต้องรีบปฏิบัติธรรม เสียแต่วันนี้ และทำไปจนสิ้นอายุขัย เพราะว่าไม่มีการลงทุนใด ในโลก ที่ให้ผลลัพธ์ ล้ำเลิศไปกว่าการปฏิบัติธรรมอีกแล้ว ในที่นี้ก็รวมการทำกุศลทุกรูปแบบไว้ด้วยนะครับ เพียงแต่จะขอเน้น เรื่อง การปฏิบัติบูชา คือ การบำเพ็ญภาวนานั่นเอง เช่น ทำสมาธิแบบสมถะ หรือแบบวิปัสนา เป็นต้น

    เอาง่ายๆ นะครับ คิดแบบเชิงการลงทุน ลงแรง แบบดิบๆ แบบปุถุชน ทั่วไป ผมขอสนับสนุนให้ท่านทั้งหลาย ที่ยังมีวาสนา ให้ ทำสมาธิ กันบ่อยๆ ทำมากๆ ทำให้ได้ฌาน ในการทำแบบสมถะ หรือ  ญาณในการทำแบบวิปัสนา นั่นเพราะอะไร?

    นั่นเพราะเพียง ฌาน 1 ในการปฏิบัติแบบ สมถภาวนา นั้น ท่านก็ได้ไปอยู่ในชั้น พรหม แล้ว ครับ มีความสุขสบายมากกว่าในโลกนี้เป็นอย่างมาก ส่วนขั้นที่สูงขึ้นๆ ไป จนถึง ฌาณ 8 ลองหาอ่านกันเอาเอง

    สำหรับ ญาณ  ในการปฏิบัติแบบ วิปัสนภาวนา นั้นถ้าปฏิบัติได้ยิ่งยวด ก็สำเร็จเป็นอรหันต์ และ มีชั้นพรหม สำหรับ พระอนาคามีขึ้นไปที่เรียกว่า ปัญจสุทธาวาส หรือ สุทธาวาสภูมิ อีกด้วย

      เมิื่อลองนำมาคิดกันตามหลักเหตุผล และมองในเชิงการลงทุน ตามที่คนสมัยนี้ชอบคำนี้กัน ก็ลองคิดเทียบดังนี้ว่า

       1.ระยะเวลาในการปฏิบัติสมาธิ จะเป็นแบบ สมถะ หรือ วิปัสนา กับเราทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดานี่ จะปฏิบัติอย่างไร มุมานะแค่ไหน เราจะใช้เวลาในการลงมือปฏิบัติ ได้มากสุดเท่าไรก้ัน หากไม่ใช่ อายุุขัยของเรา ลบด้วย ช่วงอายุที่เราเริ่มปฏิบัติ จริงไหม?

       2.ให้เราได้สติ แล้วขอเพียง ลงมือปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้ ทำให้ถูกวิธี เข้าหาครูอาจารย์ ที่สอนแนวทางที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา หากทำไป มีอิทธิบาท 4 มันต้องได้สักระดับแน่ๆ จริงไหม?

      3. เอาเวลานับสิบๆ ปี สมมุตินะครับ ทำไปจนเราจากโลกนี้ไป กับการสำเร็จขั้นใดขั้นหนึ่ง มาเปรียบเทีียบกับ ผลที่เราได้ใน ชาติต่อไป ที่เป็น พรหม ซึ่ง ชั้นแรกสุด เช่น ได้ปฐมฌาน ก็มีเสวยสุขยืนยาวตั้ง
1 ใน 3 ของมหากัป ดังนั้น

     เมื่อเทียบเวลาทีต้องลงทุนในการปฏิบัติ กับผลที่ได้ มันจึงเป็นกำไรที่หาสิ่งใดในโลกนี้มาเทียบไม่ได้จริงไหม?

    หากเปรียบให้เห็นภาพ ก็ ให้เวลาที่เราปฏิบัติเท่า หยดน้ำ 1 หยด ลงทุนลงแรงไปเรียบร้อยแล้ว กลับได้ผลตอบแทนเป็น มหาสมุทรทั้งโลก คุณว่ามันคุ้มไหม  ผมว่าคุ้มครับ ดังนั้นจงลงมือกระทำ การปฏิบัติบูชากันเสียแต่วันนี้ครับ มันมีแต่ทางได้เท่านั้น

    ขณะเดียวกัน สำหรับการทำอกุศลกรรม ก็ให้ผลอันน่ากลัวเช่นกัน ด้วยเวลาเทียบเท่าหยดน้ำของอายุขัยมนุษย์ นี้ เมื่อได้ทำบาป ทำกรรม ลงไปแล้ว มันก็ต้องชดใช้กรรมที่นรก เช่นกัน ในเวลานานแสนนาน อาจจะเหมือน 1 หยดน้ำที่ทำกรรมไม่ดีไป ได้ผลตอบแทน เป็นเวลาชดใช้ในนรก เท่า แม่น้ำทั้งสาย หรือ มหาสมุทรทั้งโลกเช่นกัน ตามประเภท และ เจตนาของกรรม คือว่า

    ทำดี หรือ ไม่ดี ในภพภูมิของ มนุษย์นี่ มันได้รับผล ดี หรือ ไม่ดี เป็น ทบเท่าทวีคูณ มหาทวีคูณกันทั้งนั้น

   เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เรายังประมาทหรือครับ รีบปฏิบัติอย่างถูกต้องกันดีกว่าครับ ปฏิบัติบูชา ย่อมทำแล้วดีกว่าไม่ทำแน่นอน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
ปล. มนุษย์ คือ ชาติภพ ที่ทำน้อย ได้เยอะ จริงๆ (ทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม)

Wednesday, February 12, 2014

กรรม ในทัศนะของผม จากโมบายด์ เหนือระเบียง

 สวัสดีครับ

    เอามาเขียนไว้กันลืม เพราะคิดขึ้นมาได้ จากการเห็นเงาของ โมบายด์ ที่แขวนไว้ที่เหนือระเบียงห้อง
แต่เงาสะท้อน มาฉายอยู่ที่ม่านบังแดด ที่ตรงประตูเข้าห้องครับ

     กรรม ก็เหมือนกับเงา ที่มักจะอยู่ถัดจากตัวเราออกไป จะแตกต่าง ก็แต่ว่า มันจะไปสะท้อนอยู่ที่ไหน และ ห่างออกไปจากตัวเราเท่าใด

บันทึกไว้เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ช่วงบ่ายคล้อย
ที่คอนโดแสนรัก

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Wednesday, January 29, 2014

ออกกำลังกาย อย่างเดียวยังไม่พอ ต้อง ออกกำลังจิตใจ ด้วยนะครับ

สวัสดีครับ


   คุณเคยเห็นคนที่นอนน้อย บางคนอ้วน บางคนกินแบบอดๆ อยากๆ บางคนใช้ชีวิตสัมมะเลเทเมา บางคนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และอีกหลายๆ รูปแบบ กระนั้นแล้ว เขาก็ยังมีอายุยืนยาว กันไหมครับ?

   การเขียนแบบนี้มิใช่ให้เราเห็นว่า ชีวิตถูกลิขิตไว้แล้วหรือแล้วแต่ดวง ไม่ใช่ครับแต่อยากจะบอกว่า ความลับที่ซ่อนอยู่ เป็นไปได้ไหมว่า มีเรื่อง จิตใจ อยู่ด้วย?

   คติทางพุทธ เราเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม มีชาติก่อน ชาตินี้ และ ชาติหน้า การที่กลุ่มบุคคลดังตัวอย่างข้างต้น สามารถมีอายุยืนยาว และ หลายคนแข็งแรงมาก แม้มีอายุเลย 80, 90 หรือเกิน 100 ปีไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า เป็นเรื่อง ของจิตใจ หรือโลกทางวิญญาณ หากจะให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นไปได้ไหม?

    คติทางศาสนาที่นับถือพระเจ้า จะเรียกคนข้างต้นว่า  พระเจ้าให้...พวกเขามีชีวิตอยู่ พระเจ้ารักเขา...หรือ นั่นเป็น พระประสงค์ของพระเจ้า

     ซึ่งจากคติใดๆ มันก็คือ โลกของจิตวิญญาณ ครับ

     ยกตัวอย่าง ดารานักบู๊ เฉินหลง เขาไปให้สัมภาษณ์ในรายการฝรั่ง ทำเอาคนทังห้องส่ง หัวเราะงอหาย เพราะ ผู้ดำเนินรายการถามเขาว่า บาดเจ็บจากหนังบู๊มาก และ กี่ครั้ง เฉินหลง ตอบว่า นับครั้งไม่ถ้วน แล้วชี้จุดว่า ตรงไหนบ้างที่ บาดเจ็บ และ หัก เขาเริ่มจากศรีษะ ที่กระโหลกแตก ยังมีรูโบ๋อยู่จนปัจจุบัน จำได้หนังเรื่องนี้ก็เข้าฉายในไทยและ เฉินหลงก็มีคลิปพูดก่อนเข้าหนังทั้ง ที่ พันผ้าที่ศรีษะครับตอนนั้นยังเด็ก พ่อและแม่พาผมกับน้องไปดูหนังด้วยกัน

       เขาเล่าต่อ ก็มาที่จมูก ไหล่ แขน บน ลาง ซีกโครง หักทั้งสองข้าง บน กลาง ล่าง ท้อง หลัง ขาทั้งสองข้าง คือสรุปคือ โดนหมดครับ

     เขาเล่าต่อว่า ปัจจุบันยังมีอาการปวดมากตอนเช้า ต้องบิดตัว ยืดตัวประจำ ผมเข้าใจดีครับ ว่าเป็นอย่างไร คนก็ฮากันลั่นห้องเลย เพราะฝรั่งคงไม่เคยมีใครกล้า เสี่ยงแบบเฉินหลง และ เขาตลกขบขันในวิธีที่ เฉินหลงเล่าครับ

    เฉินหลงเป็นคน มีเสน่ห์ และ น่ารัก ยังถ่อมตนอีกด้วย ถือว่าเป็นพระเอกในใจที่ผม นับถือ คนหนึ่ง

   ทว่า เฉินหลง มีอายุยืน เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงนะครับ หลายคนยังไม่รู้นะครับว่า เขาเป็นคนที่พิเศษ ในเรื่องหนึ่ง คุณแม่เขาท้อง 12 เดือนนะครับ ก่อนคลอด ลองคิดกันเองครับ

    เอ้ามาดูชีวิตของเขากันครับ ปัจจุบัน เป็นเจ้าของกิจการภัตตาคาร และ ธุรกิจอื่นมากมายในฮ่องกง
และเป็นดาราระดับ หลายพันล้าน อีกด้วย มีชื่อเสียง สูงมาก ผมว่าคนรู้จัก เฉินหลง มากกว่า ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของ FB เสียอีก ปัจจุบัน เขานั่งเครื่องเจ็ตส่วนตัวหรือ น่าจะเป็นนักบินเองด้วย ท่องไปทุกที่ทั่วโลก เพื่อร่วมกิจกรรม การกุศล ต่าง ๆ ทั่วโลก และตามหน้าที่ การงานของเขา

    หากเราเชื่อว่า อาชีพนักแสดงบู๊แบบเฉินหลง จะต้องทำให้อายุสั้น บาดเจ็บ และ อะไรอีกหลายอย่างแต่อะไรล่ะที่ทำให้เขา แตกต่างจากคนอื่น คำตอบคือ

         เขาแตกต่างจากคนอื่น !!!

   กำปั้นทุบดิน ผมทราบครับ แต่ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า มันมีเรื่องจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องครับ นั่นคือ

      บารมีเหมาะสมที่สั่งสมมา  ชาตินี้ครองตัวไม่ตกไปจากความดีงาม และ 
สร้างสมความดีใหม่เพิ่มและรักษาไว้อย่างดี

     หากใครก็ตาม ที่มีสิ่งดังข้างต้น พร้อมบริบูรณ์ เขาย่อม มีได้ เป็นได้ เหมือนไม่เฉพาะเฉินหลง แต่เหมือนบุคคลที่ชื่อเสียงดีงามในสังคม ได้กันทั้งนั้น

    ผมจึงเชื่อว่าเรื่องจิตวิญญาณ จึงควรจะสำคัญ แต่ใช่ว่า การสั่งสมมาจะเท่ากัน ทำได้เหมือนกัน หากพูดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เราจะมีกลยุทธ์ ใดครับที่สร้างตัวของเราใหม่ ก็ทางจิตวิญญาณนี่ล่ะ

    สุขภาพ ความแข็งแรง แม้กระทั้งความเจริญในทางสังคม คุณจะบอกหรือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า การสร้างคุณงามความดี การปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และ อะไรอื่นๆ ในแนวนี้ ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หรือดีขึ้นมาก ...คำตอบอยู่ในใจของคุณ

   ดังนั้น หากใครก็ตามสามารถเสริมเรื่องจิตวิญญาณ เข้าไปในการออกกำลังกาย น่าจะเหมือน การติดปีกให้เสือ ใช่หรือไม่

 จึงขอฝากไว้ให้ทบทวนกันครับ

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Tuesday, January 28, 2014

เป็นคติ เรื่องการปฏิบัติบูชา ฌาน กับ ญาณ แตกต่างกันอย่างไร

คติจากหลวงพ่อ
วัดสังฆทาน

การจัดการ ยุง ที่เหตุ คือแหล่งน้ำ ไม่ใช่อยู่แต่ในมุ้ง
ดังนั้น ทั้งนอกมุ้ง และ ในมุ้ง เราจะอยู่ได้อย่างปกติสุข
ควรทำอย่างไร?
การปฏิบัติเพื่อได้ ฌาน เมื่อออกมาแล้ว จะพบ สมาธิบริวาร
มิใช่สุขแท้
สำหรับ ญาณ นั้น คือการขจัดยุง ที่ต้นเหตุคือ แหล่งน้ำ
จึงเป็นสุขแท้

ยาก หรือ ง่าย ?

__________________________________
อัฟเดท: วันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2557 
ได้ทราบนามของพระท่านแล้วครับ คือ หลวงพ่อจรัล ทุกขญาโน
_________________________________________________________
ผมยังไม่มีโอกาสทราบ นามหลวงพ่อท่านนี้ เต็มๆ สักที แต่นำแนวคำสอนของท่านมาอ้างอิงไว้แล้ว  1 ครั้งเรื่อง สมาธิบริวาร เป็นท่านเดียวกัน คำสอนของท่าน ไม่ยาว แต่ลึกซึ้งมาก ดังที่ผมพยายามสรุปไว้ข้างต้นครับผม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)