Tuesday, May 13, 2014

บทความเกี่ยวเนื่องกับธรรมะ ตอน ในซอกหลืบของ "ความเศร้า" กับแนวคิดการช่วยผู้คน ให้พ้นทุกข์ในทางโลก

สวัสดีครับ

      วันนี้อาจคุยในเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมะตรงๆ แต่เข้าได้กับหมวดของธรรมะ เรื่องความเมตตา กรุณา เป็นแน่ เพราะเมตตา คืออยากให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณานี่ก็น่าจะอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  ถ้าผมจำไม่คลาดเคลื่อนนะครับ

       แนวคิดของผมก็คือ  มนุษย์ทุกคน มีกรรมดีชั่ว มาต่างๆ กัน และเวลาในการส่งผลก็ย่อมแตกต่างกัน กรรมดี ก็ดีไป ส่วนมากทุกคน จะมีมุฑิตาจิต ยินดีกับคนที่เรารู้จักอยู่แล้ว แต่ หากกรรมชั่วส่งผล คือ เกิดผลร้าย จะมากน้อย กับใครก็ตาม ย่อมไม่ใช่เรื่องดี

       กรรมแบบหนึ่ง ในทางศาสนาคือผลจากการผิดศีลข้อที่ 1. คือการเบียดเบียนสัตว์ นั่นคือ จะส่งผลให้เราเจ็บไข้ ได้ป่วย ใครมาเกิดอยู่ในช่วงเวลาที่ กรรมแบบนี้ส่งผล เชื่อผมเถอะ ได้ใจแป้ว กันไปตามๆ กัน วัยรุ่นสมัยผม เขาว่า หนาวเลย

      ยกตัวอย่างเดียวพอ จะเป็นกรรมชั่วแบบใด ส่งผลกับเรา ไม่มีใครมีความสุขหรอกครับ เราย่อมทุกข์ใจ แต่เราจะบรรเทาอาการได้อย่างไร ในใจเราให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ ผมซึ่งมีประสบการณ์มากับตัวพบว่า

 กลไก 5 ขั้นในการรักษาและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ

        1. รับรู้ และ ทำความเข้าใจ ว่า ทุกอย่าง มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป 
            กรรมหรือผลของกรรมก็เช่นกัน หากเรามีความสุขเป็นส่วนมากมา
            10 ปี ยกตัวอย่าง แล้วมาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ มีเรื่องราวอื่นๆ เกิดใน
            ปีต่อๆ มา ก็ให้มองว่า สุข ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

             คิดแบบนี้ให้ได้ก่อน คือ ยอมรับว่า มันต้องแฟร์ ทั้งสุขและทุกข์

       2. มีหนทางแก้ไข (สร้างพลังแห่งศรัทธา)

            -ทางการแพทย์ ก็ติดตามรักษาให้เต็มกำลัง
            -ทางจิตใจ อย่าทุกข์คนเดียว ต้อง เล่าสู่กันฟัง ให้ คนใกล้ชิดฟัง
              เรามี ญาติ คนใกล้ชิด คนที่เรารัก ไว้ เพื่อร่วมสุขและทุกข์กับเรา ไม่ใช่หรือ

            -หนทางเลือก อื่นๆ เช่น สวดมนต์, ทำบุญ, ทำสมาธิ
            -คิดถึงความดีงามอื่นๆ ที่จะสงกุศลผลบุญให้เรา หายจากโรค
            -ดูแลการกินอาหาร
            -ทำกายภาพ ท่าต้องทำ สำหรับผม การทำกายภาพคือ การออกกำลังกายแบบหนึ่งครับ

    และอื่นๆ อีกมากมาย

        ข้อ 2. คือ การสร้างความหวัง ความนับถือ ความศรัทธา ให้กับตัวเอง ในการที่จะหายจากโรคภัยใดๆ

       3. รู้จักตัวเอง และ ซี่่อสัตย์ต่อความรู้สึก

      คนป่วยหลายคนยังหลงทาง อยู่ใน กลุ่มคำพูดพวกนี้

      -คนเราต้องอดทน
       -เสือต้องไม่ร้องไห้
       -เราดูแลตัวเองได้
        -อย่าเอาอาการป่วยของเราไปให้คนอื่นเดือดร้อน

     หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน

     อย่าไปเชื่อแนวคิดเหล่านี้ครับ เพราะมันคือ ความคิดของคนเห็นแก่ตัว ที่ต้องการกันเราออกไปจากโลกความสุขจอมปลอมของเขาหรือ กลุ่มของเขา เพราะเขาไม่รู้จัก รักษาน้ำใจคน พูดรักษา ดูแลคนไม่เป็นต่างหาก แต่อย่าไปโทษเขา เพราะคนเรา เติบโตมา ไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด

      วิธีในข้อ 3 คือ คุณรู้สึกท้อแท้ ให้ร้องไห้ ออกมา คิดทบทวนว่าทำไมเป็นแบบนี้ แล้วมองหา จุดแก้ไข
จงร้องไห้ จงระบาย จงขอกำลังใจ จงซื่อสัตย์ต่อตัวเอง จะมาเป็น วีรบุรุษกับอาการป่วยให้โง่ทำไม จงยอมรับตัวเองว่า ป่วย และ ฉันจะร้องไห้ ออกมา แต่....

       แต่... เอาไว้ก่อน แต่ขออธิบายว่าทำไม ให้ระบาย ให้ขอความช่วยเหลือ ให้ร้องไห้

     นั่นเพราะเราคือคน ครับ   หากเรามีความสุขแล้วเรา หัวเราะ ยิ้ม มีความสุขกันได้
  ยามทุกข์เราย่อมต้องร้องไห้ได้ ครับ กลไกธรรมชาติพวกนี้ มีไว้ พิทักษ์รักษาคนทุกคนครับ

  เด็กร้องไห้ เพราะหิว ปวด สารพัด แต่การร้องไห้ อย่างเดียว ทำให้ผู้ใหญ่หันมาให้ความสนใจ พร้อมทิ้งทุกอย่าง มาดูเขาใช่ไหม นั่นล่ะ คือ ความลับของการร้องไห้ เพราะมันทำให้คน ต้องหันมาสนใจ

      การระบาย ก็ทำให้คนเห็นเราตามจริง ไม่หลอกลวง สมมติว่า คนเป็นโรคกระเพาะ แต่เพื่อนชอบชวนไปกินเหล้า เคล้ากับแกล้ม เผ็ด สะใจ เขา แต่ เราแย่ๆ เพราะ เรามัวแต่ทำตัวเข็มแข็ง ลองนั่งระบายกับเพื่อนสิครับ ช่วงนี้กูเซ็งกับอาการกระเพาะจริงๆ อาหารไม่เผ็ด กูยังแสบร้อนเลย เขาจะเห็นตัวจริงของคุณ เขาจะไม่กล้าชวนคุณไปทรมาน อีกต่อไปจริงไหม

     เอาเป็นว่า จงซื้อสัตย์กับตัวเอง เป็นอะไรก็สื่อสารออกไปตามนั้น ให้คนเขารู้่ตอนนี้ดีกว่า อีก หลายเดือน อีกหลายปี ข้างหน้า คนเขาอาจจะเรียกคุณว่า คนหลอกลวงก็เป็นได้ จริงไหม

      4. รู้จักคนที่ฟังเราได้

     จากข้อ 3. คุณจะเห็นเลยว่าใคร เป็นเพื่อนแท้ คนที่รักเราจริงๆ คุณเชื่อไหมบางคนเพียงรับทราบอาการ ก็ไม่ถามอะไรแล้ว บางคนกลับนั่งไต่ถาม ด้วยความสนใจ เพราะเขารู้ว่า เพียงเป็นเพื่อนคุยสักพักผู้ป่วยนั้นก็ ชื่นใจ มากมายเสียจริงๆ ยิ่งทำให้หายโรคหายไข้ได้ไว  มันคือน้ำใจและลักษณนิสัยครับ ผมบอกแล้วนะ อย่าไปตำหนิเขา นี่เป็นเรื่องน้ำใจ ซื้อไม่ได้ ขายก็ไม่ได้

      การเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เป็นเองไม่รู้หรอกนะ

     คนที่รู้จัก ทักทายสร้างมิตรมานานปี จะได้เปรียบ เพราะเพื่อนมีมาก จากที่ทักทายกันผิวเผิน คนเหล่านี้จะมาไต่ถามเรา เพราะปกติเราไม่เป็นแบบนี้ คุณจะอบอุ่นใจ มิตรภาพจึง หาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ เชื่อผม สร้างเพื่อนไว้ครับ ยิ้มง่ายๆ ทักกัน ยามป่วยไข้ เราจะมีคนมาสนใจเรามาก ได้กำลังใจ

     คนทีเพื่อนน้อย ให้คุยกับเพื่อนเท่าที่มี คุณจะพบธาตุแท้ของเพื่อน ว่าเป็นอย่างไร หรือ กับญาติ หากอยู่ห่างไกลคุุยไม่ได้บ่อย ให้คุยกับผู้ใหญ่ ที่คุณรู้จัก บอกท่านตรงๆ ว่า
 
     ผม/ดิฉัน กำลังทุกข์ใจ จากการป่วย ต้องการกำลังใจ และ ข้อแนะนำ

   ตรงๆ ไปเลยครับ และ จบแล้ว ขออนุญาต มาพูดคุยบ้าง เพราะญาติผู้ใหญ่ ที่นี่ไม่มี ประมาณนี้


   ให้เอาตัวของคุณออกไปสู่ คนที่รับฟังคุณ

   อย่าลืม จะคุยกับใคร หากเขารับฟังเรา คุยกับเรา ต้องชอบคุณจากใจ และ บอกเสมอมา มันมีคุณค่ากับเรา เพียงใด เหมือนคนขาดน้ำในทะเลทราย น้ำสักแก้ว มีค่ากว่าทองคำ จริงไหม

    5.จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอาการป่วย และ แชร์วิธีที่คุณหายดี อย่างมีสติ
   เพื่อเป็นแนวทางให้คนที่เริ่มป่วยไข้ ได้มีกำลังใจ และยังได้กุศลอีกด้วย อันไหนเป็นแนวคิดเราเองก็บอกของเรา อันไหนเป็นงานวิจัย ก็บอกตรงๆ ให้ผู้อ่านมีทางเลือกครับ

   ต่อไปจะเป็นในส่วนผู้ดูแล คนป่วยที่มาขอคำปรึกษา และ ขอให้เรารับฟัง เราจะให้กำลังใจเขาด้วยแนวคิดแบบไหน อย่างไร

      แนวคิดของผมก็คือ   คนทุกคน มีซอกหลืบแห่ง "ความเศร้า" ที่เขาหรือเธออาจจะเข้าไปหลบซ่อนในซอกหลืบนั้น เมื่อใด ตอนไหน ก็ได้ ที่่ว่าเป็นซอกหลืบก็เพราะว่า เมื่อเขาหรือเธอ เข้าไปอยู่ในนั้น เราไม่มีทางรู้หรอก เพราะมันเป็น สิ่งที่ซ่อนอยู่

      จงจำไว้ว่า ญาติของคุณ ลูกของคุณ แม้กระทั่ง พ่อ แม่ พี่น้อง ของคุณ หรือคนที่คุณรัก หรือ รู้จัก เขาอาจจะกำลังหลบอยู่ในซอกหลืบแห่งความเศร้า นี้ มาระยะหนึ่ง มานานแล้ว หรือ พักใหญ่

        จงอย่าระเริงว่า ที่เขายิ้ม สนุก มีความสุขให้เราเห็น คือ ชีวิตเขาดี ไม่มีอะไรนี่หว่า มันไม่ใช่นะครับ
เราเคยเห็นไหม อยู่ๆ คนที่เรารู้จัก ก็ล้มเหลวในชีวิตไม่เป็นท่า เราทำได้เพียงนั่งวิเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้
เช่น ทำไมเขาปล่อยมาแบบนี้ ทำไมไม่บอกกัน

         นั่นก็เพราะค่านิยมโง่ๆ ที่ว่า เราต้องเข้มแข็ง เราต้องไม่่พึ่งพิงผู้อื่น ซึ่งดูดี แต่ พูดไม่่จบว่า เข้มแข็งแบบไหน ฉลาด แบบไหนโง่ แบบไหนกลางๆ แถมยังไม่มีการสอนว่า เมื่อเราอ่อนแอ จะทำอย่างไร เมื่อจำต้องพึงคนอื่นบ้างจะทำอย่างไร นี่ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนสอนกัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะในศาสนาต่างๆ ทั่วโลก มีการสอนให้เราช่วยเหลือผู้อื่นๆ นั่นแปลว่า ศาสนาเห็นความจริงของคนเราว่า เกิดมาแล้วย่อมต้องพึ่งพิงกันในยามใดยามหนึ่งนั่นเอง

       ผมเชื่อศาสนาในข้อนี้ เพราะวิชาการในโลกนี้ ผมยังไม่เห็นมีสาชาวิชาการไหน ที่อายุยืนนานนับเป็นหลายพันปีเหมือนอย่างที่ มีในศาสนา จริงไหม?

        จากแนวคิดซอกหลืบของชีวิต เราจึงควรตั้งข้อสงสัยว่า ภายใต้รอยยิ้ม และความไม่มีอะไร น่ะ จริงๆ แล้วเขามีอะไรไหม แต่ใครจะกล้าบอกล่ะ ถ้าเราไม่กล้าถาม!!!

        เราทั้งหลาย เชื้่อผมครับ จงออกมาจาก ห้องปลอดภัยของคุณ แล้วจงมาวุ่นวายกับชีวิตบ้าง จงไต่ถาม คนที่คุณรู้จัก จากใกล้สุด ออกไปนอกสุดว่า

         ขณะนี้ คุณ สบายดีไหม อย่าให้เขาตอบว่า สบายดี แล้วจบกัน ต่างคนต่างไป มันเป็นมารยาทจอมปลอม จงเอ่ยปากต่อไปอีก สัก ไม่กี่วินาทีว่า

     ถ้ามีเรื่องอะไร สบายใจ หรือ ไม่สบายใจ ในขณะนี้ หรือ ผ่านมาสักพัก ขอให้จำไว้นะ ผมคือคนที่จะรับฟังเสมอ และจะช่วยเท่าที่จะทำได้ ผมพูดจริงๆ นะ

       เชื่อผม เขาจะชะงัก บางคนนี่คือการได้พบ พระเจ้า ได้หนทางใหม่ ได้ทางแห่งชีวิต และ เชื่อไหมครับเราอาจช่วยคนจากการเสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ เพราะบางคนหมดอาลัยจริงๆ แล้ว เข้มแข็งมา แต่ไม่เห็นมันจะเหมือนเพื่อน กูตายดีกว่า กลับมาเจอคนที่เปิดใจ ทักเขาว่า จะรับฟัง เขาลองเล่า และ พบคำตอบตอนนั้นเลย คือ มันได้ระบายออกมา ไม่ตายแล้ว นี่ช่วย 1 ชีวิต บุญกุศล มโหฬารจริงไหม

      จงอ่านและทบทวน อย่าลืมบทความนี้นะครับ ซอกหลืบแห่งความเศร้า อย่าให้คนใกล้ชิด เพื่อนของคุณ หลบอยู่ในซอกหลืบนั้น นานเกินไป เราต้องรุกเข้าไป อย่าให้มายาแห่งความสุขจอมปลอม มาพรากพวกเขาไปจากคุณ ไม่มีคำว่าสาย เมื่อเรา "ใส่ใจ"

ปล. จงถามแล้วถามอีก ให้เขาเกลียด ยังดีกว่าให้เขา จมปลักอยู่ในซอกหลืบนั้น เรียกว่า เสียสละ
        จริงไหม?

สวัสดีครับ
คุณบอลล์

   ด้วยความดี กุศลจากบทความนี้ อันมีอยู่ตามส่วน ขอให้ พ่อ แม่ น้องชาย น้องสะใภ้ มาโปรด ญาติพี่น้อง ตัวข้าพเจ้า คนที่ข้าพเจ้ารัก ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ได้มีกำลังแรงกาย แรงใจ ในการสร้างคุณงาม ความดีให้กับสังคม ประเทศชาติ และ  มีความสุข เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ

    ขอให้เจ้ากรรมนายเวร ได้อนุโมทนาบุญ จากกุศลในบทความนี้ และ จากการมีการเผยแผ่ต่อๆ ไปจากนี้เองเถิด ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย อโหสิกรรม แก่ข้าพเจ้า ในกรรมใดๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งจากใน อดีตชาติ และ ปัจจุบัน ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ใน ภพ หรือ ภูมิใดๆ

 ด้วยความจริงใจ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
         

No comments:

Post a Comment