Wednesday, April 16, 2014

การปฏิบัติบูชา และ การมีชีวิตอยู่ในสังคม ปัญหา หรือ ความท้าทาย?

สวัสดีครับ

       การที่คนเราได้มีโอกาส รับรู้ รับฟัง การมีอยู่ของ สิ่งที่เรียกว่า การปฏิบัติบูชา (อ่านความหมาย) และได้นับถือพุทธศาสนา ถือว่าเป็นวาสนายิ่งแล้ว และหากได้บำเพ็ญเพียร การปฏิบัติบูชา เช่นการ ทำสมาธิ ทั้ง สมถะ และ / หรือ วิปัสนา ก็ยิ่งเป็นวาสนายิ่งขึ้นไปอีก

       เพราะการปฏิบัติบูชา นัยหนึ่งคือการช่วยสืบอายุพระศาสนา โดยเราทำสมาธิตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน และ ปฏิบัติตามข้อธรรมของพระองค์ นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านได้ยกย่องการปฏิบัติบูชานี้ไว้มาก จึงไม่ต้องมัวถามเรื่อง บุญกุศล ว่าจะมากล้นเพียงใด

        ความสุขในโลก ในระดับทั่วไปอย่างผมและคุณผู้อ่าน เรามีความสุขจากอะไร ลองตามผมมานะครับ

     โลกนี้ ในทางศาสนาอาจเรียกว่า มัชฌิมาโลก หรือ โลกกลางๆ  ที่พระท่านว่า ไปไหนก็ได้ แต่ทุกคนบนโลก ที่เป็นคน มีสิทธิเลือกว่า จะทำดี หรือ ทำชั่ว จริงๆ แล้ว เป็นโลกที่บำเพ็ญเพียรได้ดี คือ ทำได้ตั้งแต่ สามารถเปลี่ยนตัวเอง จากสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปเป็น พระอรหันต์ ผู้พ้นจากวัฏสงสาร ไปจนเปลี่ยนตัวเอง ไปคนละด้าน คือ ลงนรกขุมต่ำสุดและลึกสุด ทรมานนับปีไม่ได้ ก็ยังได้ หรือกลับมาเป็นคนอีก หรือ เป็นเปรต อสูรกาย เป็นเทวดา พรหม ฯลฯ

      เรียกว่า เกิดเป็นคนแล้ว คุณมีอิสรภาพมากแล้วครับ อย่ามัวแสวงหาตัวเองอยู่เลย เพราะนั่นคล้ายๆ กับคุณคิดว่า มีชาติเดียวแล้วสูญ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะคนกลับชาติมาเกิด ระลึกชาติได้ และชี้คนบอกชื่อได้ถูกหมด มีให้เห็นทั่วโลก แค่ข้อนี้ก็ไม่น่า สงสัยแล้วนะครับ

       เมื่อเรามาเกิดบนโลก สำหรับผม ผมมองว่า มันคล้ายๆ กับเป็นที่ให้เรา วัดใจครับ ว่าตัวเราแท้ๆ เป็นอย่างไร เป็นคนไม่เอาอะไรเลย เป็นคนเฉยๆ เป็นคนเอาแน่ไม่ได้ เป็นคนกัดไม่ปล่อย โอยสารพัด โดยมีด่านต่างๆ มาให้เล่น ให้ผ่านตลอดชีวิต จนดวงจิตสุดท้าย จึงได้ได้ผลสอบ

        เมื่อเรารู้ทัน ตามธรรมะของพระพุทธเจ้า เรายังประมาทก็ใช่ที่ มาเร่งปฏิบัติบูชากันดีกว่าครับ ทำยากไหม เจ้าปฏบัติบูชานี่น่ะ ผมคิดว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

         ผมขอเล่าประสบการณ์เร็วๆ นี้ให้ฟังกัน

      อยู่ ขณะที่ผมกำลังล้างภาชนะหม้อต้มอย่างหนึ่ง ขอบด้านในที่โรงงานพับซ่อนไว้ ซึ่งคมจริงๆ มันบาดนิ้วผม ลึกถึง 2  นิ้ว และเลือดสาดเลย ออกมาเยอะมากผมรีบฉีดน้ำล้างแผล แล้วพันผ้ากดแผลไว้แล้วรีบไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ตกใจมาก แต่มีสติพอที่จะคว้ากระเป๋าเงินและบัตรต่างๆ ไปด้วย

      นาทีสุดท้ายก่อนมันจะบาดมือผม ผมยังคิดว่า เดี๋ยงล้างเสร็จ เปรมกูล่ะ อยู่ในใจเพราะจะต้มสุกี้กินให้สบายใจเฉิบ พร้อมดูหนังที่ชอบ เอนหลังสบายๆ อีก 1 วินาทีต่อมา โดนบาดเป็นแผลลึกและยาว เลือดออกเหมือนน้ำ ตกใจมาก... นี่ล่ะไม่เที่ยง

      ไปถึงโรงพยาบาลมีผู้ช่วยพยาบาลมาทำแผลเรียบร้อย รออีกพักใหญ่คุณหมอมาก็ตรวจและวินิจฉัยว่า ต้องเย็บเพราะแผลกว้างจริงๆ งานนี้ 10 เข็ม เชื่อไหมครับ เมื่อกี้ยังจะนั่งดูหนังกินสุกี้ต้มเองอยู่เลย

      และจากวันนั้นผมต้องไปล้างแผลทุกวัน ติดๆ กัน 7 วัน โดยไม่ได้กลับไปพักร้อนที่บ้าน และพอถึงนัดคุณหมอให้ต่ออีก 5 วันเพราะแผลยังบวมกว่าจะได้ตัดไหม

      ผู้อ่านเชื่อไหม ผมซึ่งศึกษาธรรมะมาเรื่อยๆ นั่งสมาธิมาเรื่อยๆ ได้คิด 3 เรื่องในวันนั้น

    1.ผมยังมีศรัทธาในพุทธศาสนาเต็มเปี่ยมจริงๆ เพราะไม่มีคิดว่า ทำบุญไหว้ำพระแล้ว จะหนังเหนียว อะไร ก็เหตุปัจจัย มันครบ คือ เนื้อโดนของมีคม และมีแรงกระทำมากพอ มันก็บาด

    2.ฝึกสมาธิ ก็มีสติ ผมมีเอกสารพร้อมตัดประกันสบายๆ ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา เพราะลืม จะเอาประกันต้องมีบัตร และขอตรวจบัตรประชาชนด้วย และคว้าเงินไปอีก 7000 เผิื่อเหนียว และทำแผลเบื้องต้นห้ามเลือดอีกต่างหาก

   3. ผมปลงตัวเอง ไม่นึกจริงๆ ว่ามันจะเกิดแบบนี้ได้ กำลังจะสบายๆ เชิ้บๆ อยู่แท้ๆ มาได้ไงว่ะ คำว่า
        อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผุดออกมาจากใจเห็นกันตรงนั้นจริงๆ  ไม่เที่ยงหนอๆๆ

   ผมเลยคิดว่า นี่เป็นแบบนี้ ยังคิดได้ มีโอกาสรีบ กระทำปฏิบัติบูชาสะสมไว้ดีกว่ากู (ในความคิด) ชีวิตเราไม่เที่ยงจริงๆ  ผมตัวใหญ่ เล่นกล้าม อ่านหนังสือมาก เรียนค่อนข้างสูง จะมีอีโก้บ้าง แต่ไม่มากอะไรตามหลักคนปฏิับัติธรรม วันนั้น เลิกหมดครับ เพราะ ท้ายที่สุด

     กูก็เนื้อหุ้มกระดูก  มึงก็เนื้อหุ้มกระดูก

   จะเก่งมาจากไหน ไอออน แมน, ธอร์, ฮัล์ค หรือ ซุปเปอร์แมน ยอดคนมาจากไหน ก็เนื้อหุ้มกระดูก แตกต่างกันเพียง บุญวาสนา เท่านั้น

    ผมได้คิดแบบนี้จริงๆ  เราทำนั่นได้ ทำนี่เก่ง อันนี้เรารู้ อันนั้นคนนั้นไม่รู้ ทำอันนี้ให้คนเห็นว่าเราเก่ง หรือทำไว้เฉยๆ มึงมาเห็นเองจะได้รู้ว่ากรูไม่ธรรมดา หรือ อะไรต่างๆ ที่คิดออกไปข้างนอก ว่าสังคม หรือ คนอื่นคิดอย่างไร หากเราทำแบบนี้   ผมไม่สนมันเท่าเก่าแล้ว เพราะ

   เพราะกูนี่คิดถึงเรื่องนอกตัว มากเกิน จนลืมไปว่า กูนี่ ต้องตาย และคนอื่นต้องตาย กันทั้งนั้น
นี่กูเสียเวลา ทำอะไรจมและลึกเกินไปหรือเปล่าว่ะ

    ผมคิด...

   จึงเริ่มหันมาคิดถึงตัวเอง ผมเป็นคนพุทธ เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด และไม่ใช่คนพุทธที่เชื่อเท่านั้น ฮินดู และ อีกหลายศาสนาก็เชื่อ เมื่อเราเชื่อตามนั้น ต้องถามต่อไป ตายแล้วไปไหน?

    ชีวิตคนเราสั้นนัก ผมคิด ดังนั้น ต้องไม่ประมาท ต้องเร่งสั่งสมบารมี บั้นปลายเป็นอย่างไร ไว้ก่อนเพราะมันต้องตายทุกคน แต่วันนี้เราเตรียมตัวหรือยัง

   -รู้ว่าไม่กินข้าวจะหิวตาย  เราก็รีบกิน เพราะแต่นึกถึงตอนหิวจนมึนหัว ก็สยองแล้ว
   -รู้ว่าไม่อาบน้ำจะตัวเหม็น คนไม่คบ เราก็อาบกันทุกวัน
   -รู้ว่า ไม่ทำงาน ไม่มีเงิน ก็ขยันทำงาน หาเงินมาเลี้ยงชีพและครอบครัว
   -รู้ว่า ไม่กินน้ำจะหิวน้ำ ก็หาน้ำมากิน

   แต่รู้ว่าจะต้องตาย และเชื่อเรื่อง ชาติหน้า การเวียนว่ายตายเกิด ยังประมาทกันอีกหรือ?

   แต่ผมต้องทิ้งโลกจริงเพื่อไปปฏิบัติธรรมไหม นี่คือสิ่งที่คิดต่อมา ก็ได้ลองทบทวนดู ก็พบว่า มันต้องทิ้งตรงไหนหว่า สมัยพุทธกาล คนตั้งเยอะแยะที่บรรลุธรรม หรือ ปฏิบัติธรรม หรือมีชีวิตอย่างมีความสุขหลังฟังธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ต้องเป็น พระทุกคนนี่ครับ

    ดังน้ั้น ในทางโลก อะไรที่ต้องรับผิดชอบ ต้องทำไปครับ อย่าทิ้งโลก ให้ธรรมะให้อยู่กับโลก แบบยึดธรรมะจริงๆ ไม่เลี่ยงบาลีก็พอแล้วครับ
 
  อธิบาย: ต้องเข้าใจนะครับ พระที่บวชนั้น เป็นมหากุศลไม่เรียกว่าทิ้งโลก คนละเรื่องกัน เป็นการสืบพระศาสนา เป็นทางอันประเสริฐ แยกให้ถูกนะครับ 
             เราฆารวาส ยังมีภาระ ต้องรับผิดชอบให้เรียบร้อย หากใจคิดจะบวชก็ขออนุโมทนา เมื่อจิตเอาจริงแล้ว รับผิดชอบภาระต่างๆ แล้ว ก็เรื่องของเราจริงไหม? เพียงแต่ เป็นฆารวาส อย่ามีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่มีแต่กุศลให้กับตัวเราทั้งชาตินี้และขาติหน้าแท้ๆ ...สาธุ

     พอนึกต่อไป การนั่งสมาธิ หรือ การปฏิบัติบูชา อันเป็นหนทางหนึ่งในการสั่งสมบารมีสำหรับชาตินี้และชาติหน้านั้น ก็ไม่ได้ใช้เวลา นานจนเบียดบังเวลาทำงานที่ตรงไหน ผมมีแนวคิดส่วนตัวดังนี้

    -ระดับเจ้าหน้าทีปฏิบัติการ   ทำงานเต็มเวลา และ เคลียร์งานให้เต็มกำลัง   ถือเป็น อามิสบูชา
      ยามว่าง กลับบ้าน  นั่งสมาธิ สวดมนต์  หรือตอนเช้า หรือ ทำเช้าเย็นก็ได้ ใครบอกว่าทำไม่ได้

    -ระดับผู้บริหารระดับ "กลาง"  สั่งการมากขึ้น มีห้องส่วนตัวเป็นส่วนมากในการทำงาน ก็ใช้เวลาว่าง
      พิจารณากาย เช่นกระทำ กายคตาสติ หรืออะไรอื่น ตลอดวันยังได้  ใครห้ามล่ะครับ

    -ผู้บริหารระดับ  "สูง"  หลายคนเอาเวลาว่างไป โน่นนี่ เช่นตีกอล์ฟ นัดเพื่อนฝูงคุย ก็นี่ครับ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเลย วัดพุทธ ในประเทศพุทธศาสนา ยังต้องหากันอีกหรือ ประเทศไทย ที่ 1 อยู่แล้ว วัดเปิดตลอดวันครับ ไปปฏิบัติธรรมได้ ไปฟังธรรม เป็นต้น ท่านจะตีกอล์ฟ กันได้กี่ปีครับ

    ดังนั้นการปฏิบัติบูชา ไม่ใช่เรื่องของการต่อต้านโลก ไม่เอาโลก แต่สำหรับผม คือการใช้ธรรมะอยู่กับโลก แบบฝึกตน แบบขัดเกลา ดังที่ หลวงพ่อ จรัญ ทักขญาโณ ช่องดาวเทียม วัดสังฆทาน

ท่านกล่าวไว้ เช่น

... หากเราโกรธ แต่ตัวเรานั้นพิจารณา กายคตาสติ การมองเห็นตัวเองอยู่ ก็ให้

     ...โกรธแต่ได้ในใจ เท่านั้น อย่าแสดงออกมา ทางกาย และ วาจา

ท่านยังกล่าวไว้ในโิอกาสอื่นอีกว่า กายคตาสติ พอมีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกจากตัว
โลภ โกรธ หลง ก็ให้ดึงกลับ ทำบ่อยๆ จนจิตมันเชื่อง

   หรือ ใช้สติเป็นทำนบกันไว้ แล้วจึงพิจารณาต่อ โดยการมองเห็นตัวเอง (กายคตาสติ)

 (ถ่ายทอดตามที่จำความหมายได้...ผู้เขียน)

    ผมลองใช้แบบลองผิดลองถูก ปรากฎว่าได้ผลพอสมควร ขณะที่เพียงเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่วัน คือ เราจะโกรธคนแบบนี้ๆ แต่เพราะอะไร เพราะเราชอบคิดว่า


     ไอ้หอกนี่มันทำกับเราแบบนี้...

  แต่ พอให้กายคตาสติ เห็นอยู่แต่ตัวเอง  มันกลายเป็น

    ไอ้หอกทำอะไร ...

     เรากำลังพิจารณากายคตาสติ สมมุติว่า ตอนนี้เห็น ศรีษะเราอยู่ๆๆๆๆ

   ไอ้หอกจะทำอะไร นั่นเรื่องภายนอกจริงไหม

   อ่านดีๆ นะครับ ไม่ใช่ทำแบบคนทั่วไป ที่ข่มใจ แล้ว ไม่สน  เพราะแบบนี้ ทนได้ก็ทนไปครับ

แต่กายคตาสตินี่ คือ ตอนนี้ผมสนใจตัวเอง จะดี จะร้าย จากข้างนอก ไม่ใช่ประเด็น แบบนี้มันเลย
ได้ผล ครับ ผมอาจจะอธิบายไม่ชัด ให้ลองถามครูบาอาจารย์ พระท่านกันนะครับ แต่วิธีนี้ผมทำแล้ว
เฮ้ย ได้ผลเดี๋ยวนั้นเลย ย้ำว่า ไม่ใช่การข่ม การไม่สนใจ แต่ ผมสนใจตัวเองอยู่ อย่างมีสมาธิครับ

     มันคล้ายๆ กับ คุณกำลังดูหนังในโรง น่ะครับ มีคนมาทะเลาะกันที่ถนนด้านนอก เราได้ยินไหม หากเราอยู่ที่ถนน เราก็มีกิเลส อยากดู มันด่ากันเรื่องอะไรจริงไหม แต่ เรากำลังพิจารณาตัวเราเองอยู่ แบบกายคตาสติ คือดูภาพยนตร์ของเราอยู่ แม้อยู่ใกล้ เสียงในโรงหนังมันดังกว่า เก็บเสียงด้วย เราก็อยู่กับสิ่งประณีตนี้ จะสนข้างนอกทำไม

    คำพระท่านว่า

          คนเราสนใจเมื่อได้รับความสุขจากกามคุณต่างๆ และยังไม่เคยพบสุขอันประณีตกว่านั้น ย่อมไม่มี
ปฏิปทาไปในทางธรรม (คือ ไม่คิดละกามคุณเดิม ที่เป็นของหยาบ)....

        การดูหนังในโรงที่ว่า คือ ความสุขอันประณีตกว่านั่นเอง พอออกมาจากดูหนังอ้าวเหลือแต่ถนน คนหายหมดแล้วเผลอๆ ไม่มีใครบอกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เมื่อ 10 นาทีก่อนมีคนทะเลาะกัน.....


     ดังนั้นคนเราจึงสามารถปฏิบัติธรรมในโลกจริงได้ครับ เพียงแต่ ต้องมีความตั้งใจ ใช้ปัญญา และปฏิบัติธรรมให้ได้ก็เท่านั้นเอง

      การปฏิบัติบูชานั้น ควรมีครูอาจารย์ หรือ พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คอยสอนนะครับ ย้ำไว้ และหลายคนทำแล้วอาจใจพลุ่งพล่าน อย่าไปตกใจครับ หาอุบายทางธรรมะ เข้าไปจัดการ โดยปรึกษาครูอาจารย์ไปด้วย เช่น ง่ายๆ เลย นิวรณ์ 5

     1.ลุ่มหลงในกาม
     2.พยาบาท
     3.ง่วงเหงาหาวนอน และ ขี้เกียจ
     4.ฟุ้งซ่าน
     5.ลังเลสงสัย

    ขณะนั่งสมาธิ หากเป็นแบบ ฌาน เช่น อานาปานสติ เป็นต้น เกิดแวบ เข้ามาในความคิด ก็ให้จับ 1 ใน 5 ข้อข้างต้น ตามจับเลยว่า นี่ เป็นตัวนี้ รู้แล้วดับไป เช่น

    นั่งไป ภาพสาวสวย ปรากฎในความคิด ก็ นี่ คือ ความลุ่มหลงในกาม แบบนี้ กันเราจากสมาธิ ไม่เอา
มันจะหายไป

     นั่งไป นึกถึงคนที่เราเกลียด นี่พยาบาท ไม่เอา

     นั่งไป ง่วง เบื่อ อยากเลิก นี่ ข้อ 3.

     นั่งไป คิดโครงการนี่ นั่น เอ้อต้องไปจ่ายค่าไฟ ต้องไปซื้อของ เดี๋ยวนัดคนนั้นนี้  เรียกว่า ฟุ้งซ่าน

     นั่งไป คิด เราทำสมาธิมาเป็นปี ไม่เห็นได้อะไร สมาธิได้บุญมหาศาลจริงหรือ ทำแล้วดีจริงหรือ
                   เรียกว่าลังเล

   คิดอะไรขึ้นมา หากยังจับได้ใน 5 ข้อของนิวรณ์ แปลว่า ต้องรู้ทันและขจัดออกไปครับ  ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการปฏิบัติบูชา สวัสดีครับ

    เอ้าวันนี้พอเท่านี้ครับผม พบกันบทความต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

 
       

No comments:

Post a Comment