Tuesday, June 24, 2014

ก่อนจะให้ข้อธรรม คติ การสำรวมตามควร ควรมีมาก่อนหรือไม่?

สวัสดีครับ

    ตามจริงแล้วผมได้มีโอกาสเขียนบทความ ตามความถนัดอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่วันนี้ผมได้ข้อคิดจากประสบการณ์ หลังจากคุยกับคุณแม่ในเรื่อง ของการให้ และ การรับว่า บางที การให้ที่ดี อาจไม่ให้ผลที่ดีทุกครั้งไป หากผู้ที่อยู่ปลายทางของสาส์น ไม่ได้รับสุข แต่กลับทุกข์ และ เศร้าใจ อย่างไร?

    ผมหวนกลับไปคิดถึงบทความจำนวนมากที่ผม เขียน เช่นบล็อกหนึ่งเกี่ยวกับการ เพาะกาย มีคนติดตามอ่าน มากกว่า 120,000 ครั้ง ผมเขียนข้อความดีๆ การเล่นเพาะกายที่ถูกต้อง การหายใจ การทำท่าต่างๆ และแจ้งการป้องกันอันตรายต่างๆ

    มันอาจดูหรู และ เลิศ แต่ผมลืมไปว่า มันคือถ้อยคำสำหรับคนที่ ยังสบาย มีโอกาส ยังไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเพาะกาย หรือ คนปกติ แต่ถ้า...

     คนที่อ่านอยู่เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ จากการเพาะกายไปแล้วล่ะ เขาจะรู้สึกอย่างไรกับบทความของผม

     หากจะให้เห็นภาพ เช่น ผมไปแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำสะอาดที่บ้านคนที่มีน้ำอยู่ในตุ่ม มันไม่ยากครับแค่หาสารส้มมาแกว่ง หรือ แนะนให้ซื้อเครื่องกรองน้ำ

      แต่ไปแนะเรื่องเดียวกันกับคนที่ บ้านยังไม่ขุดบ่อและแหล่งน้ำใกล้สุดเดินไปกลับ 1 ชั่วโมง ด้วยการแนะเรื่องเดียวกัน เขาจะลำบากใจแค่ไหน เพราะ น้ำยังไม่มี จะไปคิดถึงน้ำสะอาดตรงไหน เราก็แนะอยู่นั่นแหละ ว่าคำแนะนำเราดี อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ เราไม่ได้ดูพื้นเพว่า คนนั้นไม่เหมือนกัน เราแนะนำเขาโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่างสำรวมระวัง แบบนี้ดีหรือ?

      ผมก็เช่นกัน บทความนับร้อยนั้น มีเป็นหลักหลายสิบบทความ ที่เตือนใหญ่เลย ว่ามีคนทำแบบนั้นแบบนี้แล้วบาดเจ็บ จากการเพาะกาย ที่ป้องกันได้ง่ายๆ แต่ผมลืมไปว่า คนที่เขาเจ็บไปแล้ว บางคนไม่หาย และเจ็บมาก เขาอ่านแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมใส่ใจ ผมต้องบอกว่า

       ผมขอโทษ และไม่มีเจตนา ต่อว่าพวกคุณที่บาดเจ็บเลย ทั้งทางตรง หรือ ทางอ้อม และผมขอโทษอย่างใจจริง

       ธรรมะในศาสนาพุทธ พระท่านยังต้องให้อาราธนาศีลตั้ง 3 ครั้งกว่าท่านจะให้ศีล เชื่อว่าพระท่านมองข้อนี้ไว้แล้ว การให้วิทยาทานจึงเป็นบุญถ่ายเดียว เพราะหากคนมาขอศีลไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่นั่งขอตั้ง 3 ครั้งจริงไหม

        ผมต่อไปคงต้องสำรวมระวังกว่านี้ เพราะการให้ที่เผลอเรอ อาจสร้างความช้ำใจให้กับใครก็ได้
จึงต้องระวังอย่างยิ่ง

       ที่สำคัญปัญหาชีวิตคน แต่ละคนก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน บางคนมีปัญหาหลากหลายประดังเข้ามา บางคนปัญหาใหญ่เรื่องเดียว คุณคิดว่า คนไหนหนักกว่ากัน หากคุณบอกได้แสดงว่า คุณถือตัวเองเป็นใหญ่ เราไม่ได้มาอยู่กับเขา ใกล้ชิดขนาดซึมซับได้จริงๆ กล้าตัดสินได้อย่างไร การเอาทฤษฎีใด คำสอนใด มาหว่านครอบไปเลย อาจไม่ใช่การดีก็เป็นได้ สำหรับผม คิดว่า

        เริ่มจากเห็นใจคนที่มีปัญหาก่อน คลุกคลีตีโมงพอประมาณ และค่อย สร้างความเข้าใจ กำลังใจที่ไม่เกิดมาจากความจริงใจและให้เวลาไม่มากพอ เราสร้างความเข้าใจไป ก็เหมือน ซื้อรถราคาร้อยล้าน มาจอดไว้ แต่ไม่เติมน้ำมัน ต้องเริ่มจากความเห็นใจ ใส่ใจก่อนครับ ให้เห็นเนื้อแท้ว่า เขาเจออะไร อย่างไร ให้เวลาฟังเขามากๆ ค่อยตัดสิน และ แนะนำช่วยเหลือ ครับ :0)

สว้สดีครับ
คุณบอลล์

No comments:

Post a Comment