Saturday, August 2, 2014

วาบความคิด จากชาวพุทธคนหนึ่ง

สวัสดีครับ

     วาบความคิด: ความทุกข์จากการเจ็บป่วย ทุกข์จากการขาดแคลน ทุกข์จากสิ่งต่างๆ หากไปพบพานมาก่อนในวัยเด็ก ยังหนุ่มๆ ย่อมมีประโยชน์ ในแง่ พออายุมากขึ้นทุกครั้งที่สุขใจ จะคิดได้ว่า เออ ตอนนั้นเราไม่เคยมีภาพความสุขแบบนี้ในหัวเลยด้วยซ้ำ ให้เห็นเป็นข้อธรรม แบบนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความแกร่ง ความเข้มแข็ง อะไร เพราะ ความทุกข์ เป็นกี่ครั้งก็ไม่ได้ทำให้กล้ามขึ้น จริงไหม สำหรับความแกร่งทางใจนั่นมาจาก การถือศีล การลด ละเลิก อบายมุข การบำเพ็ญเพียรต่างหาก สำหรับผมนะ พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คนที่เสียสละให้สังคม คนที่อุทิศตนในโลก นี่คือคนแกร่ง ของจริงครับ เพราะการลด ละ เลิก ความสุขตน นี่ล่ะ แกร่งของจริง ไม่ใช่ผ่านทุกข์อะไรมา เพราะทุกข์น่ะ มีเป็นร้อยพัน เจอทุกข์ที่คุณทนได้ อาจจะ ผ่านได้ แต่เจอทุกข์ที่คุณทนไม่ได้ คุณก็หน้าใหม่เหมือนกันน่ั่นล่ะ ดังนั้น คนที่ละความสุขของตนได้ ต่างหาก คือคนแกร่งจริง ซึ่งผมว่าเรียนรู้ไปทางนี้ดีกว่าครับ :0)

สวัสดีครับ

คุณบอลล์ :0)

Tuesday, July 8, 2014

หวนกลับจำ ส่ิ่งดีๆ ที่กลับคืน

สวัสดีครับ

   เรื่องมีอยู่ว่า สมัยผมเป็นวัยรุ่น เลือดลมเดินแรง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในคณะที่ใช้เหตุผล การทดสอบ ทดลอง ให้ปรากฎจริง คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้ บุคลิกวิธีคิดก็เป็นไปแบบนั้น แต่ด้วยการเป็นนักกิจกรรม ทำให้ ทำกิจกรรมเล่น มากกว่าเรียน ทำให้เรียนกันหลายปี จนเริ่มท้อ

    ปัญหาจากการเข้าสังคม ในการทำกิจกรรมระหว่างเรียน ก็พบว่า เราไม่ถูกใจ คนมากมาย เพราะว่าไปคนเราดำเนินชีวิต ตามที่เขาชอบ มากกว่าจะแคร์คนอื่นๆ พบเรื่องไม่มีเหตุผล มากๆ ก็เครียด เริ่มไม่ชอบคนมากขึ้น  แต่รู้ตัวว่า มันไม่ใช่เรื่องดี

    กิจกรรมทำมาก ก็ได้ทักษะการอยู่กับคนมากขึ้น แต่ดูแล้วมันเหมือนไม่จริงใจ ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ปัญหามาอยู่ที่เรื่องเรียน เพราะตอนนั้น ฟุ้งซ่านเยอะมาก

    จนครั้งหนึ่ง ได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ได้พบ วลี 2 วลี คือ

    1. มันเป็นอย่างนั้นเอง และ
    2. กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว

   ทำให้ได้คิดครั้งใหญ่ ว่า คนที่ใช้เหตุผลเก่ง แต่ใช้ผิดเรื่อง ขาดการถอย การยอม การปลง ขาดอุเบกขา มันคือการทำร้ายตัวเองเพราะ ว่า

    ข้อแรก เราจะพายเรือวนอยู่ในอ่าง ตลอดไป เพราะมัวแต่หาเหตุผล กับ เรื่องที่ไม่ควรต้องใช้ความ
                คิดขนาดนั้น
   
    ข้อที่สอง  อาจถูกคนที่เห็นโอกาส ปั่นหัวเอาได้ โดยการใช้จุดแข็งของเรา คือการใช้เหตุผล มาปั่น
                   หัวเรา เพราะคนมีเหตุผล ส่วนมาก ไม่คิดทำร้ายใคร ดังนั้น เขาอาจย่ามใจทำแล้วทำ
                   อีก อย่าง สุมาอี้ ไม่ยอมออกมารบกับขงเบ้ง เพราะรู้ว่า ขงเบ้งใช้ความคิดในการรบ ดัง
                  นั้น ทุกอย่างต้องมีแผน สุมาอี้ หลบสบายหลังกำแพงเมือง จบเลย

  "มันเป็นอย่างนั้นเอง"  ทำให้เราได้แนวคิดว่า แทนที่จะถามว่า ทำไม แบบนี้ๆ ทำไมเกิดแบบนี้ ทำไมๆ ก็คิดเลยข้ามไปตอนจบเลยว่า  มันเป็นอย่างนั้นเอง

   "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  ข้อนี้ทั้งกับเรื่องราว และ กับคน เมื่อมันหมดหนทาง หรือ คิดแล้วเซ็งกับเรืองราวหรือคน จนไม่รู้จะไปทางไหน ก็ให้คิดว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว ก็ทำให้ข้ามไปตอนจบได้เลย

  ขอให้ใครที่สนใจ ลองไปหาอ่านแบบเต็มๆ กันนะครับ มีทั้งหนังสือและ ในเน็ต

  ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ในราวๆ ก่อนปี 2539 คือ นานกว่า 18ปีแน่ๆ หลังจากนั้น ชีวิตผมเปลี่ยนนะครับเพราะ เมื่อก่อนผมหลงคิดว่า เรามีธรรมะ ก็อยู่ได้อย่างสบาย แต่ใช้ธรรมะไม่เป็นเลยแย่ครับ และงงว่าทำไมชีวิตช่วงนั้น ทุกข์มากจัง
 
   พอมาอ่านเจอวลีข้างต้นก็ได้คิด หันกลับมามองคำสอนทั้งหมดใหม่ และเริ่มเข้าใจว่า เราใช้ผิดวิธี ศาสนาไม่ได้ผิด แต่เราต่างหากที่ใช้ผิดวิธี

    มาถึงวันนี้ ประสบการณ์ชีวิตหลังเรียนจบ ตอนที่เรียน และ การทำงานกว่า 17 ปี ทำให้ผมหลงลืมสิ่งที่พบในวันนั้น จะเรียกว่า ลืมแก่น ไปหมด แต่ ผลส่วนใหญ่ ยังมีอยู่ ทำให้ แม้จะลืมแต่ชีวิตส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ระยะหลัง ยังมีการ เขียนหลักธรรม เขียนบล็อกมีประโยชน์อีกจำนวนหนึ่งให้คนอ่านกัน เพราะหลงคิดไปว่า เราชั่วโมงบินสูงพอแล้ว

     ซึ่งจริงๆแล้ว ผมยังต้องถือว่า สิ่งที่มีคือ ชั่วโมงในการเรียนรู้ต่างๆหาก และต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ต้องมีสติ ปัญญามากกว่านี้มาก คือผมยังเด็กประถมอยู่เลย

      ที่บอกว่ายังเด็กประถมก็คือ เมื่อมีปัญหาสุขภาพเข้ามา ก็ทำให้เกือบเสียพลังศรัทธา ที่เราเคยมี ผมจึงไม่แปลกใจที่ เคยอ่านเจอในหนังสือว่า คนที่ตายไปแล้ว หมอกู้ชีวิตคืนมาได้ จะกลายเป็นคนมีบุคลิกใหม่ไปเลย บางคนเป็นเดนคน เปลี่ยนเป็นนักบุญไปเลย เพราะรู้คุณค่าชีวิตนั่นเอง

        ท้ายสุด การมีชีวืตที่สุขภาพดีนี่ล่ะสำคัญมาก เราต้องดูแลตัวเองด้วยไปพร้อมๆ กับการมีธรรมะ
ดังนั้นการเกิดอะไรขึ้นกับ สุขภาพ จะเหมือน ข้าศึกมาประชิดพรมแดน แม่ทัพจบใหม่ รู้แต่เร่ืื่องในตำรา อาจฝึกทหาร อาจวางกำลังเป็น แต่ พอจะรบจริงๆ ข้าศึกอยู่ที่กำแพงเมืองแล้ว ก็อาจจะรบไม่เป็นก็เป็นได้ หัวหน้ากองร้อยแก่ๆ อาจจะมีวิสัยทัศน์ในการรบเก่งกว่า แม่ทัพในตอนนี้ก็เป็นได้

        คนที่มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมพอมีปัญหาสุขภาพ แล้วเขว ตกถนน ก็อย่าโทษตัวเองครับ เพราะเป็นได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ศาสนาสอนผิดแต่ เราต่างหากที่ยังไร้ประสบการณ์จริงไหม

         ตัวผมเองตอนนี้มีอาการเจ็บหลัง แต่ก็ออกกำลังกาย ทำกายภาพ มาตลอดและพบวา่ดีขึ้นมาก และดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะกำลังใจ หากผมยอมรับสภาพ ก็เจ็บๆ ไป ป่านนี้จะเป็นอยางไร ลองคิดดู นอกจากนั้น ยังมีการใช้ อิทธิบาท 4 คือ ทำทุกข้อ และใคร่ครวญเรื่อยๆ พบวิธีใหม่ๆ ตลอดก็เอามา
ทดลองทำ คือเอาหมดที่ดี มันก็ย่อมดีกว่าไม่ทำเลยจริงไหม

         แต่พอทำมาสักพัก ก็เริ่มมีความลังเล บ้าง เพราะเราคือคนธรรมดา วันนี้เช้าก็ เกิดวาบความคิดว่า เราเคยต่อสู้แบบแทบไม่มีความหวังเลยมาแล้ว จำได้ไหม....ความคิดมันพาไปของมันเอง

       ทำให้ผมได้คิดว่า ผมเคยผ่านเรื่องคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว จริงๆหลายครั้ง และผ่านได้ ทำไมท้อแท้เสียล่ะ จึงเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

        ผมในตอนนั้น น่าจะราวๆ 20 ปี สมัยเรียนใกล้จบแล้ว แต่อย่างที่บอก ผมนักกิจกรรม เรียนเลย
ชะงักๆ จนมาถึงเทอมที่ต้องลง วิชาเครื่องกล หรือ เมคคานิคส์ ที่จริงๆ ไม่ยาก เพราะมีทั้งภาคทฤษฎี ที่เก็บคะแนนได้สบายๆ กับ ภาคคำนวณที่ต้องมีการแตกแรง คำนวณ แรงต่างๆ เช่นรับน้ำหนักได้เท่านี้ เท่านั้น ทำอย่างไร

         จำได้ว่า เข้าเรียนบ้าง โดดบ้าง ตอนนั้นไปเล่นบาสครับ เล่นทุกวัน ทำกิจกรรมนี่เพียบ  จนเข้าสู่การสอบ ผมทำคะแนนกลางภาคค่อนข้างดี แต่พอมาสอบปลายภาค ผมต้องไปใส่ใจวิชาอื่นๆ จนตกใจว่าไม่เหลือเวลาอ่านให้กับ วิชานี้แล้ว เพราะเหลือแค่ 1 วันก่อนสอบ

          ผมจำได้วิชานี้เปิดสอนปีละครั้ง เท่านั้น และ ผมจะจบช้าไปอีก เป็นปี หากสอบไม่ผ่าน
คะแนนก็ทำไว้ได้ดีมากตอนกลางภาค ทำไมเป็นแบบนี้

       คิดโทษตัวเองมากมาย เรื่องราวตั้งแต่ต้นเทอม เข้ามาในหัวว่า เราเสียเวลาไปทำอะไรบ้าง พลางถามตัวเองว่า ทำไมๆ เราเป็นแบบนี้ ผมทุกข์ใจมาก

        แต่ความจำเป็นบังคับครับ เพราะหากไม่ผ่านเทอมนี้ผมจบโน่นเลย ใกล้ 7-8 ปี หรืออาจลุกลามไปเป็นต้อง ออกเพราะหมดเวลาเรียนตามข้อบังคับที่ 8 ปี

         ผมเครียดมาก เป็นความรู้สึกของการไม่มีทางเลือก หมดทางออกจริงๆ กับเวลา 1 วันก่อนสอบ

        ผมต้องตัดสินใจว่า ยอมรับสภาพสอบๆ ไป ตกก็ตก หรือ สู้

      ผมสู้ ครับ!!!

     ผมตัดสินใจ ไปอ่านหนังสือสอบที่ห้องสมุด จำได้ว่าชั้น 3 เน่ืองจากเป็นช่วงสอบ ทำให้เกือบจะนั่งอยู่คนเดียวทั้งชั้น แอร์เย็นๆ เลยกลายเป็นหนาวไปเลย โดดเดี่ยว อยู่คนเดียว นั่งอ่านไปตั้งแต่บทแรกผ่านไปทีละหน้า จนมาเจอจุดที่ยากก็ท้อใจ เอ้าพักแล้วอ่านซ้ำๆ จนเข้าใจผ่านไปได้ จาก บทแรกเป็นหลายบท แต่เริ่มรู้แล้วมันยากมากๆ

     ความคิดมากมายประดังเข้ามา

   ...มึงยอมแพ้ไปเถอะเป็นไปไม่ได้ มันยาก
     ...มึงทำไม่ได้ มึงทำไม่ได้
      ...ถึงจะอ่านไปจนจบทุกบท ยังต้องท่องสูตร และ จำหัวข้อต่างๆ อีก ไม่ทันหรอก
และ อื่นๆ อีกมาก

   จน วลีที่สอง ที่ว่า "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  โผล่ขึ้นมาในความคิด

    ผมจึงลองใช้ดู พอมันคิดว่าจะยอมแพ้ ผมไม่สนมันครับ แล้วก็บอกว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้วๆๆๆ
ทำไปเรื่อยๆ จน มันนิ่งไปเอง แล้วอ่านต่อไป จนจบ และท่องสูตร จดจำทฤษฎีต่างๆ อย่างตั้งใจ
ตอนนั้นผมเพลียมากแล้ว ต้องลงไปกินข้าว และตัดสินใจกลับไปอ่านต่อที่หอพัก

   แน่ละต้องบริหารเวลานอนพัก และ เวลาตื่นให้ดีๆ รวมทั้งไปให้ทันสอบด้วย

   ผมเข้าห้องสอบแบบค่อนข้างสบายใจ และ ผลสอบออกมา ผมผ่านครับ และ ได้เกรดสูงด้วย
 นี่ล่ะที่ว่า หากเราใช้ธรรมะเป็น มันเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ

    สำหรับผม การคิดว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง คือ ปลงเป็น
                      และ  กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว คือ ไม่วนอยู่ในอ่างน้ำ แต่ข้ามโอ่งครับ จะได้ไปไหนต่อไหนกันต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)                


   

Tuesday, June 24, 2014

ก่อนจะให้ข้อธรรม คติ การสำรวมตามควร ควรมีมาก่อนหรือไม่?

สวัสดีครับ

    ตามจริงแล้วผมได้มีโอกาสเขียนบทความ ตามความถนัดอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่วันนี้ผมได้ข้อคิดจากประสบการณ์ หลังจากคุยกับคุณแม่ในเรื่อง ของการให้ และ การรับว่า บางที การให้ที่ดี อาจไม่ให้ผลที่ดีทุกครั้งไป หากผู้ที่อยู่ปลายทางของสาส์น ไม่ได้รับสุข แต่กลับทุกข์ และ เศร้าใจ อย่างไร?

    ผมหวนกลับไปคิดถึงบทความจำนวนมากที่ผม เขียน เช่นบล็อกหนึ่งเกี่ยวกับการ เพาะกาย มีคนติดตามอ่าน มากกว่า 120,000 ครั้ง ผมเขียนข้อความดีๆ การเล่นเพาะกายที่ถูกต้อง การหายใจ การทำท่าต่างๆ และแจ้งการป้องกันอันตรายต่างๆ

    มันอาจดูหรู และ เลิศ แต่ผมลืมไปว่า มันคือถ้อยคำสำหรับคนที่ ยังสบาย มีโอกาส ยังไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเพาะกาย หรือ คนปกติ แต่ถ้า...

     คนที่อ่านอยู่เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ จากการเพาะกายไปแล้วล่ะ เขาจะรู้สึกอย่างไรกับบทความของผม

     หากจะให้เห็นภาพ เช่น ผมไปแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำสะอาดที่บ้านคนที่มีน้ำอยู่ในตุ่ม มันไม่ยากครับแค่หาสารส้มมาแกว่ง หรือ แนะนให้ซื้อเครื่องกรองน้ำ

      แต่ไปแนะเรื่องเดียวกันกับคนที่ บ้านยังไม่ขุดบ่อและแหล่งน้ำใกล้สุดเดินไปกลับ 1 ชั่วโมง ด้วยการแนะเรื่องเดียวกัน เขาจะลำบากใจแค่ไหน เพราะ น้ำยังไม่มี จะไปคิดถึงน้ำสะอาดตรงไหน เราก็แนะอยู่นั่นแหละ ว่าคำแนะนำเราดี อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ เราไม่ได้ดูพื้นเพว่า คนนั้นไม่เหมือนกัน เราแนะนำเขาโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่างสำรวมระวัง แบบนี้ดีหรือ?

      ผมก็เช่นกัน บทความนับร้อยนั้น มีเป็นหลักหลายสิบบทความ ที่เตือนใหญ่เลย ว่ามีคนทำแบบนั้นแบบนี้แล้วบาดเจ็บ จากการเพาะกาย ที่ป้องกันได้ง่ายๆ แต่ผมลืมไปว่า คนที่เขาเจ็บไปแล้ว บางคนไม่หาย และเจ็บมาก เขาอ่านแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมใส่ใจ ผมต้องบอกว่า

       ผมขอโทษ และไม่มีเจตนา ต่อว่าพวกคุณที่บาดเจ็บเลย ทั้งทางตรง หรือ ทางอ้อม และผมขอโทษอย่างใจจริง

       ธรรมะในศาสนาพุทธ พระท่านยังต้องให้อาราธนาศีลตั้ง 3 ครั้งกว่าท่านจะให้ศีล เชื่อว่าพระท่านมองข้อนี้ไว้แล้ว การให้วิทยาทานจึงเป็นบุญถ่ายเดียว เพราะหากคนมาขอศีลไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่นั่งขอตั้ง 3 ครั้งจริงไหม

        ผมต่อไปคงต้องสำรวมระวังกว่านี้ เพราะการให้ที่เผลอเรอ อาจสร้างความช้ำใจให้กับใครก็ได้
จึงต้องระวังอย่างยิ่ง

       ที่สำคัญปัญหาชีวิตคน แต่ละคนก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน บางคนมีปัญหาหลากหลายประดังเข้ามา บางคนปัญหาใหญ่เรื่องเดียว คุณคิดว่า คนไหนหนักกว่ากัน หากคุณบอกได้แสดงว่า คุณถือตัวเองเป็นใหญ่ เราไม่ได้มาอยู่กับเขา ใกล้ชิดขนาดซึมซับได้จริงๆ กล้าตัดสินได้อย่างไร การเอาทฤษฎีใด คำสอนใด มาหว่านครอบไปเลย อาจไม่ใช่การดีก็เป็นได้ สำหรับผม คิดว่า

        เริ่มจากเห็นใจคนที่มีปัญหาก่อน คลุกคลีตีโมงพอประมาณ และค่อย สร้างความเข้าใจ กำลังใจที่ไม่เกิดมาจากความจริงใจและให้เวลาไม่มากพอ เราสร้างความเข้าใจไป ก็เหมือน ซื้อรถราคาร้อยล้าน มาจอดไว้ แต่ไม่เติมน้ำมัน ต้องเริ่มจากความเห็นใจ ใส่ใจก่อนครับ ให้เห็นเนื้อแท้ว่า เขาเจออะไร อย่างไร ให้เวลาฟังเขามากๆ ค่อยตัดสิน และ แนะนำช่วยเหลือ ครับ :0)

สว้สดีครับ
คุณบอลล์

Sunday, June 1, 2014

แนวคิดวาบความคิดของผม เรื่องกาลเวลา จะพาเราไปเอง จงเดินทางอย่างมีสติ มีธรรมะ

สวัสดีครับ

   เคยมีวาบความคิดนี้มา มาระยะหนึ่งคือ  ไม่ว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ สิ่งที่จะพาเราผ่านไปได้เสมอคือ
กาลเวลา

    ผมวาบคิดขึ้นมาว่า  เวลาจะพาเราผ่านทุกอย่างไปได้ และ พาเราท่องไปยังห้วงเวลาต่างๆ

  ขอเสริมเข้าไปอีกหน่อยว่า ไม่ว่าคุณจะชอบ ไม่ชอบ จะอะไรก็ตาม มันจะมีวันพรุ่งนี้เกิดขึ้นเสมอ
และวันนี้ต้องผ่านไปเสมอ ดังนั้น คุณเมื่อย้อนกลับมาคิดถึงสิ่งที่ผ่านไป เราจะแบกรับสิ่งที่ไม่ดี หรือ ดีไว้ล่ะ ดังนั้น ทำสิ่งเป็นกุศลไว้ครับ แล้วเวลาจะพาเราผ่านสิ่งต่างๆ ไปเอง จริงไหม
 
      ไม่มีอะไรเอาชนะเวลาได้ เลย แม้อุปสรรค ปัญหาใด ๆ จะใหญ่ขนาดไหน ก็แพ้แก่เวลา เพราะทุกอย่างมีเวลาของมัน ไม่มีอะไรตั้งอยู่ตลอดไป มันต้องแพ้ให้แก่เวลา วันยังค่ำ
 
      อาจคิดกันเล่นๆ ว่า จะไปกลัวอุปสรรค ปัญหาทำไม  ก็เมื่อ เราอาจจะชนะมันไม่ได้ แต่มันต้องแพ้ให้แก่ เวลา ไม่มีเป็นอื่นไปได้ พอเวลาเอาชนะมันแล้ว เราก็จะชนะมันด้วย เพราะเราก็เดินทางอยู่ในห้วงกาลเวลาเช่นกัน เวลาเอาชนะได้ทุกสิ่ง  และขอให้เดินทางไปกับกาลเวลา อย่างมี สติ มีธรรมะ 

        ดังพระท่านว่า  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

      หากไม่อยากพบเจอสิ่งวนซ้ำ น่าเบื่อแบบนี้ ก็ต้อง ปฏิบัติธรรมให้บรรลุ นิพพาน เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ เวลา เอาชนะไม่ได้เลย จริงไหม 


   เมื่อห้วงเวลาต่างๆ เป็นกุศล ด้วยยวดยาน ฟรี คือเวลา ที่ขับเคลื่อนไปด้วยตัวของเขาเอง ชีวิตเราก็จะเป็นกุศลเป็นส่วนมาก จริงไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, May 21, 2014

น้ำใจคนไทย พี่คนทำความสะอาดอาคาร "ไหวไหมครับ" ?

สวัสดีครับ

    ชายคนหนึ่งกำลังใช้ไม้เท้า เดินขึ้นบันไดของตึกอาคารเรียน ที่แสนใหญ่โต เพียงแต่บันได ของตึกนี้ มันชันเสียนี่กระไร เขาหยุดพักกลางบันได เพื่อดูให้แน่ว่า ข้าวของที่ถืออยู่ ไม่ตกหกหล่น และ ขาของเขายังไม่ค่อย 100% ดีนัก จากอาการปวดหลังเฉียบพลัน

    ไหวไหมครับ

   เขาคิดวาบแรกที่ได้ยินเสียงของชาย พี่คนทำความสะอาดตึก ว่า ไม่อยากให้ใครช่วยนะ เพราะกลัวจะเคยตัว คือ จะคิดว่าตัวเองป่วยไม่หายสักที หรือคิดว่า ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ไปน่ะสิ คือ จะพึ่งพิงคนอื่นตลอดไม่ได้ลองว่า จริงๆ กำลังของตัวตอนป่วยนี้ช่วยตัวเองได้แค่ไหน   แต่มโนสำนึกรู้ว่า นี่คือน้ำใจ
ซึ่ง มีค่ากว่า ความในใจ ที่เราคิด

    ไหวไหมครับ

    เขาถามผู้ที่กำลังใช้ไม้เท้า ชายคนป่วยตอบ

     ไหวครับพี่   ส่งยิ้มให้

  แต่ไม่วายที่ ชายผู้อารี ยังเดินเข้ามาแล้ว มาประคอง อย่างเป็นงาน คือ ที่ ท่อนแขนด้านล่าง บริเวณศอก และ ข้อมือ ชายคนป่วย เดินขึ้นบันได อย่างสบาย กว่าทุกวัน สบายไปกว่าครึ่ง

    เขารีบขอบคุณ ชายคนนั้นยิ้มให้แล้วเดินกลับไปทำงาน

    หากมองในหลักกฎแห่งกรรม เราต่าง เคยอนุเคราะห์กันมาก่อน สถาบันการศึกษา มีนักศึกษานับหมื่น บุคลากร นับพัน  ทำไมเขาสองคนได้มาเจอกัน มันมีเรื่องทั้ง กรรมเก่า และ กรรมใหม่ ปะปนในนั้น

    ที่แน่ๆ ชาติต่อไป มันย่อมมีการสลับกัน และ คนที่เข้ามาช่วยจะสลับกัน เขาเป็นว่า มี 1 ครั้งล่ะ ที่ในชาติหน้า หากชายที่เป็นคนเข้ามาช่วยในชาตินี้ ป่วยเจ็บในชาติหน้า คนที่เข้่ามาช่วย จะเป็นคนป่วยในชาตินี้ที่เขาช่วยนี่ล่ะ  ผมเชื่อแบบนั้นน่ะ

    ทีนี้ คนที่ป่วยในชาตินี้ ต้องดูภูมิหลังด้วย เขาคิดอย่างไรในการมาทำงานในวันนี้

    1. ทดสอบตัวเองว่า ทำงานได้ติดต่อกันได้กี่วัน โดยไม่ลาป่วย
    2. ตั้งใจมาทำงาน ให้แต่ละวันผ่านไปดีที่สุด ป่วยก็ทนมา
    3.เขาไม่กินเหล้าไม่ สูบบุหรี่
    4.เขาอยู่ในสภาวะลำบาก จริงๆ
 
   คนที่เข้ามาช่วย ล่ะคิดอะไร

    1.เห็นใจ = เมตตา
     2. ลงมือช่วย ทิ้งอุปกรณ์เลย เดินเข้ามาช่วย  = กรุณา
      3. ช่วยคนป่วยเสร็จ เห็นคนป่วยสบายขึ้น ก็ยินดี =  มุฑิตา
       4. เป็นการช่วยตามกำลัง ความสามารถของตน ได้เต็มที่แล้ว ก็ยินดี = อุเบกขา


เมื่อเป็นการช่วยแบบพรหมวิหาร 4 และคนที่เราเข้าไปช่วย ก็กำลังตั้งใจดี และ กำลังลำบาก คล้ายๆ กับต้นไม้ ขาดน้ำ มานานแล้วได้น้ำ  แบบนี้ ได้กุศลแรงมาก

   ดังนั้นคนที่เข้ามาช่วย ย่อมได้บุญกุศล มหาศาล เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมนะครับ พระสงฆ์ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัตชอบนี่ เป็นเนื้อนาบุญอันดี ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่านะครับ และหากคุณได้ทำบุญกับ สงฆ์อาพาธ กุศลจะแรงมากๆ ขอฝากเอาไว้ครับ

  สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
   

Tuesday, May 20, 2014

เมื่อคนป่วย แสร้งทำใจให้ไม่ป่วย (ก็ยังอยู่ฝั่งกุศลล่ะ) กรณีเราชอบคิดไปในแง่ร้าย เสียๆ หายๆ กลัวไปหมด

สวัสดีครับ

     ยามที่เราขับรถ เราไม่เคยเห็นคุณค่าของน้ำมันรถ จนกระทั่งมันใกล้หมด เพราะ พอถึงเวลา ต้องรีบกุลีกุจอ เข้าปั๊มกันจ้าละหวั่น จริงไหม

     ชีวิตคน ผมนี่ได้บทเรียน ที่ต้องใช้ชีวิต กว่า 41 ปีจึงจะได้คิด และสำนึกว่า

   "คุณจะสุดยอดเพียงใด มีวิธีคิด เห็นโลกมามากแค่ไหน อย่าเพิ่งคิดว่า คุณเจนจบ แล้ว...

   จงเผื่อใจไว้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ลำบากกาย ลำบากใจ บ้าง ค่อยมาดูตัวเองใหม่ว่า คุณเรียนมาพอ
    หรือยัง...."

     ซึ่งพอผมป่วย มีอาการเจ็บแบบไม่คิดฝันเข้าวันหนึ่ง ผมถึงรู้ตัวเอง 2 ข้อ

    1. เรานั้นบอบบางนัก สิ่งที่เรียนรู้มา เข้าใจว่าเรา ตามสติ มีสมาธิ พอประมาณ มันดี กับการช่วยเหลือ
         เป็นกำลังใจให้ ผู้อื่น นี่เรื่องดี   แต่สำหรับตัวเอง กลับลนลาน กังวลกับอาการเจ็บป่วยของตน                 เหมือน เด็กเล็กๆ คนหนึ่ง

    2. ธรรมะนั้น เรียนรู้ไปเถิด ดีทั้งนั้น แม้จะรู้ว่า ตัวเองทำใจไม่ได้กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง กลัวลาน ไปหมด แต่ ก็มีหลักธรรมเข้ามาในใจ ให้ได้คิด เกิดแสงแห่งปัญญาทำโน่นนี่ มาเป็นระยะๆ และ คุณธรรมที่เรียนมา ช่วยคนมา พอถึงตาเรา เจ็บป่วย ก็มีมิตรสหาย ทักทายไม่ขาด สำหรับ พ่อ แม่ พี่น้อง และคนรักของเรา อันนี้ พวกเขารักเราอยู่แล้ว ผมได้กำลังใจจากตรงนี้มากๆ   เรียกว่า มีกำลังใจมาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ซึมบ่อทราย แปลว่า มาเรื่อยๆ ไม่มากแต่ไม่มีหมด

 
      การเจ็บป่วย คือเรื่องที่ใกล้กับคำว่า มีหรือหมดวาสนา มากที่สุด ลองคิดดู

    1. อาชีพการงานของคุณ จะเป็นอย่างไร จากนี้
     2. คนรอบข้างใกล้ตัวจะเป็นอย่างไร
      3. หากอยู่ลำพังคนเดียว เราจะทำอย่างไร

 และ มีเรื่องให้คิดมากมาย มากจริงๆ

      ไม่เคยมาเจ็บป่วย ไม่มีทางรู้หรอกครับ

    คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องอยู่กับคนประเภทคิดบวก มีพลังเมตตาเหลือเฟือ คุยได้ต่อติด จะทำให้มีกำลังใจฟื้นจากการเจ็บป่วยได้เร็ว แต่คนแบบนี้ มีไม่เยอะครับ คนป่วยจึงต้อง บางที

   แกล้งทำตัว เป็นคนรู้จักคิด แสร้งทำเป็นคิดบวก    บ้าง

  ก่อนที่จะเฉาตายไปเสียก่อน   จะดีหรือ


   มันก็ไม่น่าเกลียดนี่ครับ ก็เวลาน้ำมันหมด เราเลี้ยวเข้าปั้มเติมแก็ส โซฮอล์  ไม่ใช่น้ำมันเพียวๆ เสียหน่อย ก็ทำได้นี่ จริงไหม

    การแสร้งทำตัวเอง เป็นคน คิดบวก มีพลังเหลือเฟือก็คล้ายๆ กัน คือ

   ตอนนี้เติมอะไรให้ชีวิตได้ เติมไปก่อนเหอะ เอาให้รอดตายคราวนี้ก่อนเถอะ หากมัวรอ ฮีโร่ พอดีกว่าจะเจอ อาจบ๊าย บาย ลาโลกไปแล้ว หรือ จิตตกไม่มีเหลือ

     คนป่วยเสี่ยงต่ออาการจิตตก แต่อาจแก้ได้ ด้วยการ แสร้ง เสแสร้ง แกล้งทำตัวเป็น คนคิดเป็น คิดบวก มีพลัง ทำอย่างไร?

       ไม่ยากครับ คิอแบบนี้

1.  มีกรรมส่งผลอยู่ 1 ไม่ค่อยดีนัก บวกคิดมาก ฟุ้งซ่าน จนทำร้ายตัวเอง อีก 1 รวมเป็น 2 แรงแข็งขัน
   
2.  มีกรรมส่งผลอยู่ 1 ไม่ค่อยดีนัก  เฉยๆ ทำไม่สน กรูไม่ฟุ้งซ่าน  บวกยังไงก็ได้ แค่ 1 แรง

3.   มีกรรมส่งผลอยู้่ 1 ไม่ค่อยดีนัก แต่แสร้งคิดบวก หานั่นทำนี่ ต่อสู้ ดูแลตัวเอง รักษากายและใจ จะดีจะร้ายไม่คิดมาก อ้าว เกิดพลังบวก กับตัว  เกิดแรงไปทางบวก 1 2 3 4.... ไม่สิ้นสุด
๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

เป็นตัวเราที่ต้องเลือก จริงไหม
   กรรมมันส่งผลแล้ว คุณเลือกแบบไหน คนเรา สถานีปลายทางคือ   ความตาย  หนีไม่พ้น สมมุติว่า โรคร้ายแรงที่สุดคือ ตาย   คุณจะเลือกเป็นคนแบบไหน จาก 3 ข้อข้างต้น ?

   พวกแรก เรียกว่า พวก ซ้ำเติมตัวเอง
   พวกที่สอง เรียกว่า พวกรู้ทัน
   พวกที่สาม  เรียกว่า ไม่มีเสียเปรียบหรอก คือ โดยลบมา ตรูข้าจะบวกกลับเป็น สิบ เป็นร้อย

   และธรรมชาติ มันก็เป็นแบบนี้จริงๆ  เราจะเห็นว่า ทุกข์หนักทั้งหลาย ตลอดชีวิต จะพบว่า

    แล้วมันก็ผ่านไป

   สิ่งที่ทิ้งไว้คือ จิตดวงเดิมของเรา ที่ต้องเผชิญโลกต่อไป จนวาระสุดท้าย แต่จิตนี้ จะ

  บอบช้ำ
   กลางๆ
   สุขใจเป็นส่วนมาก

  3 แบบ คุณคือคนที่เลือกเอง   หากเห็นดังนี้แล้ว จะอะไรที่เข้ามา ขอเป็น คนแบบที่ 3. กันดีกว่าไหม คือ
อะไรที่กรรมส่งผลแล้ว เป็นไป สร้างกรรมใหม่ ทำกรรมใหม่ สู้สิพวก ท้ายสุด มันก็ผ่านไป ตามกาลเวลา เราก็ยัง สุขมากกว่าทุกข์อยู่ดี จริงไหม

  ดังนั้น จงอย่าซ้ำเติมตัวเอง หากอารมณ์ใด เกิดแล้วมันจะเข้ามาทำร้ายใจเราตอนป่วย บอกลามันเลยว่า มึงมาได้ มึงก็ไปได้ ก็ไม่สน เพราะ

      ทุกสิ่งอย่าง มีการ   เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

     จงคิดต่ออีกนิด เป็น การตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า

     ทุกวันเราจะมีเป้าหมายเล็กๆ ว่าจะทำอะไร เช้าตื่น กลางวันลงมือทำ ค่ำพักผ่อน ทำดีที่สุด และ กูทำได้เทานี้  แต่ กูทำเป้าหมายได้สำเร็จ 1 งาน

     มีจาก 1 วัน เป็น 1 สัปดาห์ เป็นเดือน เป้าหมายจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บอกตัวเองให้ได้ว่า อีก 1 ปี จะมีอะไร เป็นอะไร อีก 3-5 ปี มี ทำ เป็นอะไร พอแล้ว ล่าสุดมีงานวิจัยว่า คนที่มีเป้าหมายในชีวิตส่วนมากอายุเกิน 70 ปี และอายุยืนกว่านั้นครับ

    ดังนั้นเราเจ็บป่วย ก็อย่าซ้ำเติมตัวเอง ไม่มีอะไรจะเสีย กว่านี้  ที่่เหลือคือ ทำเรื่องดีๆ บวกๆ กุศลมากๆ เพิ่มให้มากกว่าคนปกติ สัก 10 เท่า 100 เท่าไปเลยครับ เพราะ

    หากเราไม่หาย เราได้กุศล ได้จิตใจที่บวก ไม่ซ้ำเติมตนเอง

    หากเราหายดี คุณจะมีแต่กำไรนะครับ

 แนวทางของผมเป็นแบบนี้

ลองนำไปต่อยอดครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Tuesday, May 13, 2014

บทความเกี่ยวเนื่องกับธรรมะ ตอน ในซอกหลืบของ "ความเศร้า" กับแนวคิดการช่วยผู้คน ให้พ้นทุกข์ในทางโลก

สวัสดีครับ

      วันนี้อาจคุยในเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมะตรงๆ แต่เข้าได้กับหมวดของธรรมะ เรื่องความเมตตา กรุณา เป็นแน่ เพราะเมตตา คืออยากให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณานี่ก็น่าจะอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  ถ้าผมจำไม่คลาดเคลื่อนนะครับ

       แนวคิดของผมก็คือ  มนุษย์ทุกคน มีกรรมดีชั่ว มาต่างๆ กัน และเวลาในการส่งผลก็ย่อมแตกต่างกัน กรรมดี ก็ดีไป ส่วนมากทุกคน จะมีมุฑิตาจิต ยินดีกับคนที่เรารู้จักอยู่แล้ว แต่ หากกรรมชั่วส่งผล คือ เกิดผลร้าย จะมากน้อย กับใครก็ตาม ย่อมไม่ใช่เรื่องดี

       กรรมแบบหนึ่ง ในทางศาสนาคือผลจากการผิดศีลข้อที่ 1. คือการเบียดเบียนสัตว์ นั่นคือ จะส่งผลให้เราเจ็บไข้ ได้ป่วย ใครมาเกิดอยู่ในช่วงเวลาที่ กรรมแบบนี้ส่งผล เชื่อผมเถอะ ได้ใจแป้ว กันไปตามๆ กัน วัยรุ่นสมัยผม เขาว่า หนาวเลย

      ยกตัวอย่างเดียวพอ จะเป็นกรรมชั่วแบบใด ส่งผลกับเรา ไม่มีใครมีความสุขหรอกครับ เราย่อมทุกข์ใจ แต่เราจะบรรเทาอาการได้อย่างไร ในใจเราให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ ผมซึ่งมีประสบการณ์มากับตัวพบว่า

 กลไก 5 ขั้นในการรักษาและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ

        1. รับรู้ และ ทำความเข้าใจ ว่า ทุกอย่าง มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป 
            กรรมหรือผลของกรรมก็เช่นกัน หากเรามีความสุขเป็นส่วนมากมา
            10 ปี ยกตัวอย่าง แล้วมาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ มีเรื่องราวอื่นๆ เกิดใน
            ปีต่อๆ มา ก็ให้มองว่า สุข ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

             คิดแบบนี้ให้ได้ก่อน คือ ยอมรับว่า มันต้องแฟร์ ทั้งสุขและทุกข์

       2. มีหนทางแก้ไข (สร้างพลังแห่งศรัทธา)

            -ทางการแพทย์ ก็ติดตามรักษาให้เต็มกำลัง
            -ทางจิตใจ อย่าทุกข์คนเดียว ต้อง เล่าสู่กันฟัง ให้ คนใกล้ชิดฟัง
              เรามี ญาติ คนใกล้ชิด คนที่เรารัก ไว้ เพื่อร่วมสุขและทุกข์กับเรา ไม่ใช่หรือ

            -หนทางเลือก อื่นๆ เช่น สวดมนต์, ทำบุญ, ทำสมาธิ
            -คิดถึงความดีงามอื่นๆ ที่จะสงกุศลผลบุญให้เรา หายจากโรค
            -ดูแลการกินอาหาร
            -ทำกายภาพ ท่าต้องทำ สำหรับผม การทำกายภาพคือ การออกกำลังกายแบบหนึ่งครับ

    และอื่นๆ อีกมากมาย

        ข้อ 2. คือ การสร้างความหวัง ความนับถือ ความศรัทธา ให้กับตัวเอง ในการที่จะหายจากโรคภัยใดๆ

       3. รู้จักตัวเอง และ ซี่่อสัตย์ต่อความรู้สึก

      คนป่วยหลายคนยังหลงทาง อยู่ใน กลุ่มคำพูดพวกนี้

      -คนเราต้องอดทน
       -เสือต้องไม่ร้องไห้
       -เราดูแลตัวเองได้
        -อย่าเอาอาการป่วยของเราไปให้คนอื่นเดือดร้อน

     หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน

     อย่าไปเชื่อแนวคิดเหล่านี้ครับ เพราะมันคือ ความคิดของคนเห็นแก่ตัว ที่ต้องการกันเราออกไปจากโลกความสุขจอมปลอมของเขาหรือ กลุ่มของเขา เพราะเขาไม่รู้จัก รักษาน้ำใจคน พูดรักษา ดูแลคนไม่เป็นต่างหาก แต่อย่าไปโทษเขา เพราะคนเรา เติบโตมา ไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด

      วิธีในข้อ 3 คือ คุณรู้สึกท้อแท้ ให้ร้องไห้ ออกมา คิดทบทวนว่าทำไมเป็นแบบนี้ แล้วมองหา จุดแก้ไข
จงร้องไห้ จงระบาย จงขอกำลังใจ จงซื่อสัตย์ต่อตัวเอง จะมาเป็น วีรบุรุษกับอาการป่วยให้โง่ทำไม จงยอมรับตัวเองว่า ป่วย และ ฉันจะร้องไห้ ออกมา แต่....

       แต่... เอาไว้ก่อน แต่ขออธิบายว่าทำไม ให้ระบาย ให้ขอความช่วยเหลือ ให้ร้องไห้

     นั่นเพราะเราคือคน ครับ   หากเรามีความสุขแล้วเรา หัวเราะ ยิ้ม มีความสุขกันได้
  ยามทุกข์เราย่อมต้องร้องไห้ได้ ครับ กลไกธรรมชาติพวกนี้ มีไว้ พิทักษ์รักษาคนทุกคนครับ

  เด็กร้องไห้ เพราะหิว ปวด สารพัด แต่การร้องไห้ อย่างเดียว ทำให้ผู้ใหญ่หันมาให้ความสนใจ พร้อมทิ้งทุกอย่าง มาดูเขาใช่ไหม นั่นล่ะ คือ ความลับของการร้องไห้ เพราะมันทำให้คน ต้องหันมาสนใจ

      การระบาย ก็ทำให้คนเห็นเราตามจริง ไม่หลอกลวง สมมติว่า คนเป็นโรคกระเพาะ แต่เพื่อนชอบชวนไปกินเหล้า เคล้ากับแกล้ม เผ็ด สะใจ เขา แต่ เราแย่ๆ เพราะ เรามัวแต่ทำตัวเข็มแข็ง ลองนั่งระบายกับเพื่อนสิครับ ช่วงนี้กูเซ็งกับอาการกระเพาะจริงๆ อาหารไม่เผ็ด กูยังแสบร้อนเลย เขาจะเห็นตัวจริงของคุณ เขาจะไม่กล้าชวนคุณไปทรมาน อีกต่อไปจริงไหม

     เอาเป็นว่า จงซื้อสัตย์กับตัวเอง เป็นอะไรก็สื่อสารออกไปตามนั้น ให้คนเขารู้่ตอนนี้ดีกว่า อีก หลายเดือน อีกหลายปี ข้างหน้า คนเขาอาจจะเรียกคุณว่า คนหลอกลวงก็เป็นได้ จริงไหม

      4. รู้จักคนที่ฟังเราได้

     จากข้อ 3. คุณจะเห็นเลยว่าใคร เป็นเพื่อนแท้ คนที่รักเราจริงๆ คุณเชื่อไหมบางคนเพียงรับทราบอาการ ก็ไม่ถามอะไรแล้ว บางคนกลับนั่งไต่ถาม ด้วยความสนใจ เพราะเขารู้ว่า เพียงเป็นเพื่อนคุยสักพักผู้ป่วยนั้นก็ ชื่นใจ มากมายเสียจริงๆ ยิ่งทำให้หายโรคหายไข้ได้ไว  มันคือน้ำใจและลักษณนิสัยครับ ผมบอกแล้วนะ อย่าไปตำหนิเขา นี่เป็นเรื่องน้ำใจ ซื้อไม่ได้ ขายก็ไม่ได้

      การเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เป็นเองไม่รู้หรอกนะ

     คนที่รู้จัก ทักทายสร้างมิตรมานานปี จะได้เปรียบ เพราะเพื่อนมีมาก จากที่ทักทายกันผิวเผิน คนเหล่านี้จะมาไต่ถามเรา เพราะปกติเราไม่เป็นแบบนี้ คุณจะอบอุ่นใจ มิตรภาพจึง หาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ เชื่อผม สร้างเพื่อนไว้ครับ ยิ้มง่ายๆ ทักกัน ยามป่วยไข้ เราจะมีคนมาสนใจเรามาก ได้กำลังใจ

     คนทีเพื่อนน้อย ให้คุยกับเพื่อนเท่าที่มี คุณจะพบธาตุแท้ของเพื่อน ว่าเป็นอย่างไร หรือ กับญาติ หากอยู่ห่างไกลคุุยไม่ได้บ่อย ให้คุยกับผู้ใหญ่ ที่คุณรู้จัก บอกท่านตรงๆ ว่า
 
     ผม/ดิฉัน กำลังทุกข์ใจ จากการป่วย ต้องการกำลังใจ และ ข้อแนะนำ

   ตรงๆ ไปเลยครับ และ จบแล้ว ขออนุญาต มาพูดคุยบ้าง เพราะญาติผู้ใหญ่ ที่นี่ไม่มี ประมาณนี้


   ให้เอาตัวของคุณออกไปสู่ คนที่รับฟังคุณ

   อย่าลืม จะคุยกับใคร หากเขารับฟังเรา คุยกับเรา ต้องชอบคุณจากใจ และ บอกเสมอมา มันมีคุณค่ากับเรา เพียงใด เหมือนคนขาดน้ำในทะเลทราย น้ำสักแก้ว มีค่ากว่าทองคำ จริงไหม

    5.จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอาการป่วย และ แชร์วิธีที่คุณหายดี อย่างมีสติ
   เพื่อเป็นแนวทางให้คนที่เริ่มป่วยไข้ ได้มีกำลังใจ และยังได้กุศลอีกด้วย อันไหนเป็นแนวคิดเราเองก็บอกของเรา อันไหนเป็นงานวิจัย ก็บอกตรงๆ ให้ผู้อ่านมีทางเลือกครับ

   ต่อไปจะเป็นในส่วนผู้ดูแล คนป่วยที่มาขอคำปรึกษา และ ขอให้เรารับฟัง เราจะให้กำลังใจเขาด้วยแนวคิดแบบไหน อย่างไร

      แนวคิดของผมก็คือ   คนทุกคน มีซอกหลืบแห่ง "ความเศร้า" ที่เขาหรือเธออาจจะเข้าไปหลบซ่อนในซอกหลืบนั้น เมื่อใด ตอนไหน ก็ได้ ที่่ว่าเป็นซอกหลืบก็เพราะว่า เมื่อเขาหรือเธอ เข้าไปอยู่ในนั้น เราไม่มีทางรู้หรอก เพราะมันเป็น สิ่งที่ซ่อนอยู่

      จงจำไว้ว่า ญาติของคุณ ลูกของคุณ แม้กระทั่ง พ่อ แม่ พี่น้อง ของคุณ หรือคนที่คุณรัก หรือ รู้จัก เขาอาจจะกำลังหลบอยู่ในซอกหลืบแห่งความเศร้า นี้ มาระยะหนึ่ง มานานแล้ว หรือ พักใหญ่

        จงอย่าระเริงว่า ที่เขายิ้ม สนุก มีความสุขให้เราเห็น คือ ชีวิตเขาดี ไม่มีอะไรนี่หว่า มันไม่ใช่นะครับ
เราเคยเห็นไหม อยู่ๆ คนที่เรารู้จัก ก็ล้มเหลวในชีวิตไม่เป็นท่า เราทำได้เพียงนั่งวิเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้
เช่น ทำไมเขาปล่อยมาแบบนี้ ทำไมไม่บอกกัน

         นั่นก็เพราะค่านิยมโง่ๆ ที่ว่า เราต้องเข้มแข็ง เราต้องไม่่พึ่งพิงผู้อื่น ซึ่งดูดี แต่ พูดไม่่จบว่า เข้มแข็งแบบไหน ฉลาด แบบไหนโง่ แบบไหนกลางๆ แถมยังไม่มีการสอนว่า เมื่อเราอ่อนแอ จะทำอย่างไร เมื่อจำต้องพึงคนอื่นบ้างจะทำอย่างไร นี่ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนสอนกัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะในศาสนาต่างๆ ทั่วโลก มีการสอนให้เราช่วยเหลือผู้อื่นๆ นั่นแปลว่า ศาสนาเห็นความจริงของคนเราว่า เกิดมาแล้วย่อมต้องพึ่งพิงกันในยามใดยามหนึ่งนั่นเอง

       ผมเชื่อศาสนาในข้อนี้ เพราะวิชาการในโลกนี้ ผมยังไม่เห็นมีสาชาวิชาการไหน ที่อายุยืนนานนับเป็นหลายพันปีเหมือนอย่างที่ มีในศาสนา จริงไหม?

        จากแนวคิดซอกหลืบของชีวิต เราจึงควรตั้งข้อสงสัยว่า ภายใต้รอยยิ้ม และความไม่มีอะไร น่ะ จริงๆ แล้วเขามีอะไรไหม แต่ใครจะกล้าบอกล่ะ ถ้าเราไม่กล้าถาม!!!

        เราทั้งหลาย เชื้่อผมครับ จงออกมาจาก ห้องปลอดภัยของคุณ แล้วจงมาวุ่นวายกับชีวิตบ้าง จงไต่ถาม คนที่คุณรู้จัก จากใกล้สุด ออกไปนอกสุดว่า

         ขณะนี้ คุณ สบายดีไหม อย่าให้เขาตอบว่า สบายดี แล้วจบกัน ต่างคนต่างไป มันเป็นมารยาทจอมปลอม จงเอ่ยปากต่อไปอีก สัก ไม่กี่วินาทีว่า

     ถ้ามีเรื่องอะไร สบายใจ หรือ ไม่สบายใจ ในขณะนี้ หรือ ผ่านมาสักพัก ขอให้จำไว้นะ ผมคือคนที่จะรับฟังเสมอ และจะช่วยเท่าที่จะทำได้ ผมพูดจริงๆ นะ

       เชื่อผม เขาจะชะงัก บางคนนี่คือการได้พบ พระเจ้า ได้หนทางใหม่ ได้ทางแห่งชีวิต และ เชื่อไหมครับเราอาจช่วยคนจากการเสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ เพราะบางคนหมดอาลัยจริงๆ แล้ว เข้มแข็งมา แต่ไม่เห็นมันจะเหมือนเพื่อน กูตายดีกว่า กลับมาเจอคนที่เปิดใจ ทักเขาว่า จะรับฟัง เขาลองเล่า และ พบคำตอบตอนนั้นเลย คือ มันได้ระบายออกมา ไม่ตายแล้ว นี่ช่วย 1 ชีวิต บุญกุศล มโหฬารจริงไหม

      จงอ่านและทบทวน อย่าลืมบทความนี้นะครับ ซอกหลืบแห่งความเศร้า อย่าให้คนใกล้ชิด เพื่อนของคุณ หลบอยู่ในซอกหลืบนั้น นานเกินไป เราต้องรุกเข้าไป อย่าให้มายาแห่งความสุขจอมปลอม มาพรากพวกเขาไปจากคุณ ไม่มีคำว่าสาย เมื่อเรา "ใส่ใจ"

ปล. จงถามแล้วถามอีก ให้เขาเกลียด ยังดีกว่าให้เขา จมปลักอยู่ในซอกหลืบนั้น เรียกว่า เสียสละ
        จริงไหม?

สวัสดีครับ
คุณบอลล์

   ด้วยความดี กุศลจากบทความนี้ อันมีอยู่ตามส่วน ขอให้ พ่อ แม่ น้องชาย น้องสะใภ้ มาโปรด ญาติพี่น้อง ตัวข้าพเจ้า คนที่ข้าพเจ้ารัก ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ได้มีกำลังแรงกาย แรงใจ ในการสร้างคุณงาม ความดีให้กับสังคม ประเทศชาติ และ  มีความสุข เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ

    ขอให้เจ้ากรรมนายเวร ได้อนุโมทนาบุญ จากกุศลในบทความนี้ และ จากการมีการเผยแผ่ต่อๆ ไปจากนี้เองเถิด ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย อโหสิกรรม แก่ข้าพเจ้า ในกรรมใดๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งจากใน อดีตชาติ และ ปัจจุบัน ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ใน ภพ หรือ ภูมิใดๆ

 ด้วยความจริงใจ

สาธุ สาธุ สาธุ