Monday, August 12, 2013

จากบทความก่อน บอกไว้ว่าจะเอาหนังสือสวดมนต์ เล่มเก่าของผมมาให้ชมกัน เชิญชมครับ

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรมะ ทุกท่าน

 หนังสือสวดมนต์เล่มเก่าของผมครับ



ขอทุกท่าน สำเร็จในธรรม
สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Saturday, August 10, 2013

ยุคที่คนไทยเิริ่มมี Hobby หรือ งานอดิเรก กันเต็มบ้านเต็มเมือง มีใครมองการปฏิบัติธรรม เป็น Hobby บ้าง?

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรม ทุกท่าน

  วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

  เช้าวันนี้หลังจากออกกำลังกายโดยการ แกว่งแขน ราวๆ 500 ครั้ง ก็แทบลมจับเพราะ ร้างจากการออกกำลังกายนานจริงๆ และ เพิ่งหายไข้มาได้ระยะหนึ่ง ที่กลับมาออกกำลังกายตั้งใจว่า เขาสุขภาพ เอาปราณ เอาการไหลเวียนเลือดที่ดี มากกว่า จะหวังเรื่องลดน้ำหนัก ก็คิดว่าทำได้ต่อเนือง เพราะไร้ความกดดันและยังดีต่อตัวเราในทุกด้านครับ

   หลังจากออกกำลังกาย ผมเดินมาซื้ออาหารเช้า ที่ 7-11 เดินเข้าไปเห็นพนักงานร้องถามกันว่า พี่ๆ ปีนี้ ปี 56 ใช่ไหม? ฮ่ะๆๆ ผมตกใจมาก ข้อนี้ทำให้ฉุกคิดว่า คนเราหาเหมือนกันไม่ เรารู้ในสิ่งที่เรายังใส่ใจ เท่านั้น ไม่มีเวทนารับรู้ จะรู้ได้อย่างไร น่าน เข้าข้อธรรม แต่เช้า คือ เขาอาจไม่เห็น ไม่ฟัง ไม่คิดใส่ใจ กับเรื่อง ปี พ.ศ. เขาจึงไ่ม่รู้เรื่องว่า ปีนี้ 55 หรือ 56 ชัดไหมครับ

    ผมก็ส่งเสียงบอกว่า ปี 56 น้อง น้องคนนั้น อายม้วนต้วน ไปเลย

   ซื้ออาหาร น้ำ นม เสร็จก็เดินกลับที่พัก ชื่นชมเมื่อคิดว่า ชาวบ้าน ร้านตลาด ตื่นมาเปิดร้านกันแต่เช้า เพียงแต่เราไม่ค่อยได้สังเกตุ พอสังเกตุ ก็พบว่า พวกนี้ทำให้เราสบาย มีร้านข้าวมันไก่ มีร้านกาแฟ ไว้ให้ซื้อแต่เช้า หากไปอยู่กลางทะเลทราย จะมีไหมเนี่ย?

    ปูชนียบุคคล ที่บรรยายสิ่งต่างๆได้ละเอียด อย่างเช่น ความดีงามในการ ดูแลกล้วยไม้ ต้องท่าน ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ครับ สำหรับผมการบรรยาย ชีวิตรอบข้าง คงจะทำได้ห่างชั้นจากท่านมาก ต้องสั่งสมเวลาอีกนานครับ :0)

   พอมาถึงห้อง ก็คุยโทรศัพท์กับหวานใจ พักหนึ่งแล้วก็พักผ่อน ทานข้าวเช้า แล้วก็มานั่งดูรายการ ฝึกสุนัข ช่อง True ได้พบว่า ฝรั่งมันเก่งใช่เล่น หมาน้อยดื้อๆ ยังสามารถฝึกได้ สุดยอดครับ

    วันนี้ เอาแนวคิด มาแบ่งปันกันครับ ประเด็นก็คือ ตอนนี้ เราจะพบว่า ตั้งแต่มี กระดานสนทนา มีเว็บชุมชน อย่าง pantip หรือที่อื่นๆ มาตลอด เกือบ 20 ปีนี้ เราจะเริ่มมีกลุ่มเชี่ยวชาญพิเศษเกิดขึ้นมากมาย และในไทยเรา จะหนักไปทาง การเมือง หรือ อีกแบบก็งานอดิเรก หรือ Hobby นั่นเอง

    งานอดิเรก มีมากมายเช่ย กอล์ฟ, ปั่นจักรยาน, กลุ่มคนรักรถ, รักต้นไม้, คอมพิวเตอร์ และ อื่นๆ อีกเป็นร้อยเป็นพันอย่าง คนสมัยนี้เหมือนจะมีงานอดิเรก อย่างน้อย 1 อย่าง เพราะ เน็ต มันช่วยให้ทุกอย่าง ง่ายขึ้น อยากรู้อะไร ก็เข้่าเน็ตค้นข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ และ ยังนัดหมาย จัดพบปะกันได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นยุคทองของ Hobby หรือ งานอดิเรก จริงๆ

   ความสงสัยของผมก็คือ ทำไมเราไม่ทำให้ การใส่ใจในธรรมะ เป็นงานอดิเรก ล่ะ เมื่อการปั่นจักรยาน ทำให้คนที่ทำ งาน อดิเรก แบบนี้ มีขาที่แข็งแรง ได้ไปเห็นทัศนียภาพใหม่ๆ พบเพื่อนใหม่ๆ แล้วการถือธรรมะ เป็นงานอดิเรกล่ะ มันจะทำให้เราเป็นคนอย่างไร?

   คนที่ปฏิับัติธรรม ก็จะได้ความร่มเย็นกับตัว ทีแน่ๆ มันดีกว่าไม่ทำ ทุกประตู เคยได้ยินไหม หลายคนชีวิตเปลี่ยน และเปลี่ยนมาจากภายใน  มีสีหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย มีสุขภาพจิตและกายดีขึ้นมาก และสำหรับคนที่ปฏิบัติมากๆ อย่าง ผู้ทรงศีล หรือพระ เช่น พระในพระพุทธศาสนา การมีอายุ 85-90 ขึ้นเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้ เห็นเป็นประจักษ์กันอยู่

    ทีนี้เนื้อหา ข่าวคราวของการ ยึดการปฏิบัติธรรม เป็น Hobby นี่ มันยังมีน้อยกันอยู่ หน้าที่ผมคือ การเปิดประเด็น แนวคิดว่า ทำอย่างไร ให้คนสมัยนี้ สมัยไหนก็ตาม หันมามองว่า การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่ควรจับไว้ให้แน่น ให้เป็นงานอดิเรกรูปแบบหนึ่ง งานอดิเรกอื่นๆ เป็นเพียงการ สนอง กิเลสของเรา และในหลายส่วน ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น

   -งานอดิเรก คือ คอมพิวเตอร์ คุณต้องมี การซื้อสัญญาณเน็ต ซื้อคอมพิวเตอร์ คอยอัฟเกรด และอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย

   -งานอดิเรก คือ การเล่นกล้อง มีตากล้องคนไหน ที่เอาจริงแล้วไม่อยากได้เลนส์ตัวใหม่ๆ บ้าง ราคากล้องล่ะ เท่าไร

   -งานอดิเรก คือ การท่องเที่ยว ผมถามว่า ไปเที่ยวแต่ละที ค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ ???

   -งานอดิเรก คือ อะไรต่อมิอะไร ล้วนใช้เงินมากๆ กันทั้งนั้น

 แต่ หากยึดการปฏิบัติธรรม เป็นงานอดิเรกของเรา อุปกรณ์พื้นฐาน มีตามตัวอย่างนี้ ก็เหลือเฟือแล้วครับ
ดังนี้

  1. หนังสือสวดมนต์ ทำวัตรเช้าและเย็น แบบสวดมนต์มีบทแปล
  2. แก้วน้ำ  2 ใบ ใช้กรวดน้ำหลังจากสวดมนต์และ/หรือ นั่งสมาธิ
  3. ที่ว่างสำหรับนั่งสมาธิ ปกติจะฟรี เพราะพื้นที่ที่ ลมพัดสบาย
      อากาศโล่งหน่อยก็ใช้ได้แล้วครับ

   ทั้ง 3 รายการ ผมว่า มีค่าใช้จ่ายจริงๆ คงเพียงแต่หนังสือสวดมนต์นั่นล่ะ

  ที่ผมทำอยู่ ไม่เน้น จุดธูป-เทียน เพราะคิดเองนะครับว่า คนยุคใหม่จำนวนมาก อยู่คอนโด และเื้นื้อที่จำักัด อาจจะรีบแล้วลืมดับธูปเทียน มันจะเกิดปัญหาได้ครับ วันนี้เอารูปแก้วน้ำสำหรับกรวดน้ำ มาให้ชมครับ ง่ายๆ ครับ เดี๋ยวบ่ายๆ จะลงรูป หนังสือสวดมนต์ เล่มขลังที่ใช้มานานน่าจะเกิน 10 ปีแล้วมาให้ชมกัน ครับ



          แก้วใบหนึ่งใช้สำหรับ รับน้ำ เรียกว่า แก้วรับ  อีกใบหนึ่งใช้รินน้ำกรวดน้ำ เรียกว่า แก้วริน
สำหรับผมมี แก้วรับและแก้วริน ก็โอเคแล้วครับ บางอย่างอย่าไปยึดรูปแบบมากเกินไปครับ :0)

  เรามายึดการปฏิบัติธรรม เป็นงานอดิเรกที่ ทรงค่ากันดีกว่า ยิ่งทำ ยิ่งมีส่วนลด กิเลส นำเราไปยังช่องทางที่ถูกคือ ห่างจาก อบายต่างๆ สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิแล้ว ก็จงอยู่สายกลาง ให้จิตและกายค่อยๆ พัฒนาไปตาม ครรลอง อย่าไปทำตัวเป็นคนหลุดโลก พิจารณาตน และ ทำไปครับผม คุณจะรู้ได้เองว่า ทำแล้ว มันดีอย่างไร ขอให้สำเร็จในธรรม ทุกท่านครับ

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
 

 
 

Friday, August 9, 2013

เตรียมตัวให้พร้อม นำการบำเพ็ญเพียร นำหน้าไว้ก่อน ทั้งยามตื่น และ หลับ

สวัสดีครับ ท่านผู้ใส่ใจในธรรมทุกท่าน

    วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

   ในวันนี้ เราทุกคน ย่อมมีอายุมากกว่า เมื่อวาน และ มุ่งเข้าใกล้การดับสูญของชีวิต ในภพชาตินี้ เข้าไปทุกที เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้มานานแสนนาน เป็นคติที่ได้อ่าน ได้ฟังแล้ว พาให้เกิดความชุ่มชื่นใจ ในรสแห่งธรรม แต่แล้วเราก็ลืมเลือนว่า ทุกคนล้วนต้อง ตาย ไม่มีใครหนีพ้น

   เราเคยมองคนที่ร่ำรวยมหาศาลมีแต่โชคดี และคนหนุ่มสาว ย่อมมีธรรมชาิติ เป็นธรรมดาที่จะไปเป็นคนแบบนั้น เพราะผมไม่เคยอ่านพบว่า เด็กดี ตั้งใจเรียน ทำตัวดี เรียนสูงๆ ทำงานดีๆ เพื่อจะไปเป็น คนจน มีแต่เพื่อไปเป็น คนมีหน้ามีตา เป็นคนรวย กันเป็นส่วนมาก (จะไม่พูดว่าทั้งหมด เพราะมันต้องมีบุคคลที่เป็นข้อยกเว้น เช่นกลุ่มผู้มีวาสนามาก่อน หลายภพชาติ ที่มุ่งหน้าเข้าวัด ปฏิับัติธรรม หรือ เสียสละให้กับสังคม ตั้งแต่เป็นหนุ่ม เป็นสาว แบบนี้ก็มี)

   หากมองในแง่โลกธรรม ไม่ใช่เรื่องผิด แปลกประหลาด ที่คนเราจะใฝ่คว้าสิ่งที่ดีๆ ใส่เข้าไปในตัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ คนจำนวนมาก ที่ขวนขวายและดำเนินชีวิต โดยละทิ้งช่วงเวลาที่ยังมีแรงกำลัง ความคิดแจ่มใส จนลืมใช้ชีวิต ในทางที่กลางๆ สร้างความสุขใส่ตัวบ้าง แต่กลับใช้เวลามากมายไปกับการ ไปยังจุดสูงสุด จุดสบายสุดคนละ 20-40 ปี บางคนใช้เวลา มากกว่านั้น แล้วพอถึงจุด ก็เหลือเวลาชีวิตในชาตินี้ไม่มาก แล้วก็ ตายจากไปอย่างน่าเสียดาย เช่นว่า

   คนที่เรียนจบมาใหม่ ๆ อายุราวๆ 25 ปี มีฝันที่ทะยานมาก สู้ชีวิตกว่า 20ปี รู้ตัวอีกที ก็ 45 ปีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน นี่คือคนส่วนมากของสังคม คนที่ไปถึงจุดที่ฝัน มีน้อยคนมาก เพราะอะไร ไม่ยากครับ นับแค่ระดับหัวหน้างาน เล็กๆ ที่เรียกว่า ผู้จัดการ นี่ คุณคิดว่า ทั่วไทย มีกันกี่คน แล้วเมื่อเทียบกับคนที่เป็นพนักงานทั่วไป ทั่วประเทศแล้ว มีกี่คน จะพบว่า สัดส่วน ต่างกันอย่างน่าตกใจ

   บางคนทุ่มเทแล้ว ได้ดังฝัน แต่หลายคนทุ่มเทแล้วไม่ได้ดังฝัน เช่นนี้ จึงพบว่า ทุกคนมีจุดร่วมในความฝันเดียวกัน คือ ต้องดีกว่านี้ ต้องไปให้ถึงจุด ต้องๆๆๆๆ สารพัด แต่มันเป็นธรรมดาโลกเช่นกันที่ จะมีเพียงคนกลุ่มน้อย ที่ไปถึงฝัน

   การไปให้ถึงหรือไม่ถึงฝัน มีปัจจัยกำหนดหลายอย่าง หากคุณอยู่ในกลุ่มมาเฟีย ออกเงินกู้ คนที่วงการนี้ต้องการคือ นักเลงหัวไม้ กล้าทวงเงิน แต่หากคุณอยู่ในระบบธนาคาร เขาต้องการ คนที่ โอนอ่อนตาม ว่านอนสอนง่าย ซื่อสัตย์์ หรือหากคุณอยู่ในการทำงานแบบองค์กร บริษัท เขาต้องการคนที่เชื่อฟัง ขยันตามนายสั่ง ว่าง่าย

   ตำแหน่ง จึงมาจากปัจจัยภายนอก และ ตัวของคุณ ที่มีอิทธิพลเหมือนๆ กัน คุณอาจคุมตัวเองได้ แต่ คุณหรือจะคุบระบบทั้งหมดขององค์กรคุณได้

    ไม่แปลกที่คนมากมายเริ่มออกมาทำมาหากิน เป็นเจ้าของกิจการด้วยตนเอง เพราะขี้เกียจจะทน ความงี่เง่า ขององค์กรของตัวเิอง

     เอาล่ะไม่ว่าคุณจะเจอมาแบบไหน มันคือ กิเลส ที่พาเราไป และยังมีปัจจัยที่คุมได้และคุมไม่ได้ อยู่ด้วย

   คนในปัจจุบันชอบมองหา วิธีแก้ เพราะมีทัศนคติว่า เราจะได้ผ่านไปได้้้้้้้้้้้้้้้้้ แต่ผมมองว่า ลืมเรื่องอายุขัยกันหรือเปล่า พวกเราอย่างมาก จะมีอายุถึง 100 ปี กันกี่คน ผ่านไปอีก 10 ปี คุณและผมจะอายุเท่าไร การมัวสาละวน กับ การมองหาวิธี ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างเดียว มันจะเป็นทางเดียวของชีวิตอีกต่อไปหรือไม่

  ดังนั้น เราควรมีการบำเพ็ญเพียร เป็นสิ่งนำชีวิต นั่นคือ ควรที่จะสั่งสม บุญบารมีใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับสิ่งที่เรายังจะขวนขวายทางโลก คือ ให้โลกธรรม นำชีวิตให้ได้จริงๆ

   การสั่งสมบารมีในโลก สำหรับคนที่อยู่กับ โลกธรรม มีโลภ โกรธ หลง มากอยู่ ง่ายที่สุดคือ การสวดมนต์ไหว้พระ การทำสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้ ง่าย ใช้พื้นที่น้อย คนเดียวทำได้ ใช้เวลาอย่างมาก ชั่วโมงกว่าๆ ก็ทำเสร็จ หากทำได้เช้าเย็นจะดีมาก เพราะยังเป็นสิ่งที่ให้ อานิสงค์ สูงมากอีกด้วย

   ดังนั้น ยามตื่น จงอย่ารอช้า สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ  ยามจะหลับ ก็ทำแบบเดียวกัน หากตอนนี้คุณอายุ สัก 25 ปี ลองทำสัก 15 ปี จนอายุได้ 40 แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตคุณไม่เสียเปล่า และจงทำต่อไปจนสิ้นชีวิตครับ เรียกได้ว่า ไม่มีวันไหน ไม่ปฏิบัติธรรม

   และอย่าไปกลัวใคร มาแซวว่า ถือศีล ปฏิบัติธรรม แล้วยัง ทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ ช่างเขาครับ ให้คิดในใจว่า

   "ก็ผม/ดิฉัน ขนาดปฏิบัติธรรม ยังทำชีวิตเสียหาย อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วถ้าไม่ปฏิบัติธรรมแล้วไซร้ มันจะแย่ไปกว่านี้ กี่ร้อยกี่พันเท่า"

   จริงไหมครับ ภาษาพ่อขุนท่านว่า "ก็กูจะศรัทธา จะปฏิบัติธรรม ให้ได้ ไม่เลิก ใครจะทำไม" แบบนี้ครับ

   สิ่งที่เราปฏิบัติ จะพอกพูน เพิ่มเข้าๆ เป็นกุศลธรรม ที่มากขึ้น จะทำได้มากน้อย ต้องทำนะครับ และ ต้องขยันลด สิ่งเลวทรามของตน จะมากจะน้อย ก็ต้องทำ เมื่อ กุศลมากขึ้น ความเลวทรามลดลง มันก็จะได้ กุศลธรรมที่เพิ่มพูน ง่ายๆ เท่านี้

    จงเริ่มระลึกว่า ตอนนี้เราอายุเท่าไร หากจะตาย 90 ปี ตอนนี้เหลือเวลาสั่งสม บุญบารมีใหม่ๆ อีกกี่ปี แบบนี้ครับ แล้วคุณจะมีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม

    พวกที่ประมาทในชีวิต ศีล 5 ครองไว้ไม่ครบ เอากันจริงๆ จะถึง 70 ไหม งั้นเอา  70 ตั้งแล้วลองลบด้วยอายุตอนนี้ จะตกใจ เพราะชีวิตคืีอชีวิต คุณจะพบว่าปัญหาใหญ่ๆ 10 ปีมันยังแก้กันไม่ค่อยได้ หากจะยังแก้อันไปไม่สิ้นสุด พอดี กว่าชีวิตจะนิ่ง สงบ อุดมสุข ก็พอดี ตายก่อน บุญเก่าใช้หมด แล้วชาติหน้าเหลืออะไรกินครับ ระวังกันไว้ให้มากๆ

   แนวทางในการเริ่มปฏิบัติธรรม แบบ ก็เราจะทำเสียอย่าง มีดังนี้

  1. ทำวัตรเช้า-เย็น แบบสวดมนต์ แปล
  2. นั่งสมาธิ วันละ 10 นาที และ เริ่มไต่ขึ้นไปจนได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง ทำเช้าเย็นได้ยิ่งดี
  3. ถือศีล 5 อย่าให้ขาด ให้รับศีล และ ถือศีลทุกวัน
  4. จิตคิดผ่องใส มีสติ
  5.จิตคิดละ อกุศลใหม่ๆ ไม่ให้เกิด ลบล้างอกุศลเดิมให้หมดจากสันดาน
  6. จิตสร้างกุศลใหม่ รักษากุศลเก่า ให้พอกพูน
  7. จงสำรวม กาย วาจา และใจ
  8. มีความเพียรไม่ท้อถอยในการครองตน ทำแล้วหลุด พลาด ไม่เลิก เริ่มใหม่ แต่อย่าผิดซ้ำซากครับ

  จากที่ผมสังเกตุมา ข้อ 7. หากตัวใดตัวหนึ่ง หลุด มันจะพาหลุดหมด ทุกตัว ดังนั้น ต้องมีสติครับ อย่าให้มันเป็นแบบนั้น

   จงทำให้ครบ 8 ข้อ คุณจะพร้อม มีฐาน สำหรับการพัฒนาต่อยอด การปฏิบัติธรรมที่ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ด้วยตัวเอง
 
   ขอให้ทุกท่าน สำเร็จในธรรม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Sunday, August 4, 2013

สมถภาวนา หรือ วิปัสนาภาวนา ทำอันไหนดี?

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรม ทุกท่าน

   หลายปีก่อนขณะที่ผม เปิดโทรทัศน์ยามเช้า พบว่ามีช่องหนึ่ง กำลังออกอากาศ รายการ ของเพื่อนต่างศาสนา และพบว่า ผู้เผยแผ่ของเขาได้ตั้ง สำนักที่เปิดให้คนในศาสนานั้น มาฝึกนั่งสมาธิกัน ผมก็งงว่า เอศาสนา นี้มีการนั่งสมาธิ ด้วยหรือ พอปลายๆ รายการก็พบว่า ท่านที่ก่อตั้งมี แนวคิดว่า การนั่งสมาธิ เป็นของกลางของโลก

    อันน่าจะหมายถึงว่า การนั่งสมาธิ มันมีมานาน ผู้คนในส่วนต่างๆ ของโลก ทำกันมานาน มีหลายศาสนา เช่น พุทธ ฮินดู ได้นำมาเป็นเครื่องมือ ฝึกจิตของ นักบวช ก็จริง แต่จากการที่มีคู่โลกมานานจึงไม่ผิด ที่จะเอามาปฏิบัติกันได้ในศาสนาของตน

    ผมฟังทีแรก ก็เออ ออ หอ่หมกไปด้วย เพราะคิดว่า มันก็น่าจะดี เพียงแต่....

    ต่อมาก็มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ ทั้งสากล และในไทยว่า การนั่งสมาธิยัง ข้อดี เช่น รักษาโรค ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งผมน่ะเชื่อมานานแล้วครับ ผมสังเกตุง่ายๆ จากการที่ พระสงฆ์ไทยนั้น มีพรรษาสูงๆ กันทั้งนั้น อายุแต่ละท่าน 80-95 ปี นี่เป็นเรื่องปกติ มันย่อมเป็นผลมาจาก การทำสมาธิ รักษาศีล และ สวดมนต์นี่ล่ะ ไม่มีมีงานวิจัยฝรั่ง เราก็รู้กันอยู่แล้ว

    แต่พอเวลาผ่านไปนานๆ เราเิริ่มลืมเลือนครับว่า การนั่งสมาธิ มันมีแยก ออกเป็น กี่แบบในพระพุทธศาสนา และ ผมเริ่มจำได้เพียงว่า นั่งสมาธิน่ะดี เขาทำกันทั่วโลก สมาธิพุทธ ก็คงเหมือนๆ กับที่เขาทำกันตอนนี้นี่ล่ะ กลายเป็นแบบนั้นไป

    มีการรณรงค์ กระทั่งให้ทำสมาธิเพียงวันละ 15 นาที แบบนี้ ก็ยังดี ผมกลับคิดว่า มันน่าเสียดาย หากทำได้มาก ทำได้นานกว่านั้น ทำไมต้อง 15 นาที นี่น่าคิด

    ต่อมาด้วย ภาระการงาน และ เรื่องราวสารพัน ได้ผ่านเข้ามา ทำให้ความสนใจ ค้นคว้าในทางศาสนาของผมค่อยๆ จางไป จนเกือบจะไม่กลับมาสนใจอีก จนไม่นานมานี้ ก็ ระลึกได้ว่า ชีวิตคนเรา ปัจจุบันเพียงมีชีวิต ที่สงบพอประมาณ ก็ยากแล้ว (หากเราจะลองสังเกตุ) หากเราเป็นชาวพุทธจริงๆ เราย่อมคิดได้เองว่า ความผาสุขในชาตินี้ คือ กรรมเก่า ที่ทำมา + ทำใหม่ในชาตินี้ และ เมื่อใช้ไปมันก็ต้องหมดไปเราจำต้องทำสิ่งเป็นกุศลใหม่ๆ ใ้ห้เกิดขึ้น เพื่อเป็นทุนในชาติต่อไป หรือกระทั่งชาตินี้ ที่เรามิรู้ได้ว่า บุญบารมีที่เราเพียรสร้างไว้นั้นจะลดถอยลงเมื่อไร

     ผมจึงได้กลับมา ทำวัตรเช้า-เย็น อีกครั้งหลังหยุดทำไป 5 ปี สิ่งที่ได้เห็นผลทันตาคือ ความสดชื่นในใจครับ และอานิสงค์จากการสวดมนต์อีก พอสวดมนต์ ก็เริ่มทำสมาธิ พอนั่งสมาธิ ก็เกิดคำถาม ว่า ทำแล้วได้อะไร ศาสนาของเราระบุไว้ชัดว่า จะได้ ฌาน คือ ฌาน 1- 4 และ อรูปฌาน 4 รวมทั้ง อภิญญาอีกด้วย เรียกว่า ได้ทั้ง ฌานลาภี และ อภิญญาลาภี  แล้วยังทำให้ เมื่อตายไปจากโลกนี้ ได้ไปสู่ สภาวะ พรหม อีกด้วยหากยังไม่เสื่อมจากฌาน ที่ได้มา แสดงว่า ฌานหากไม่รักษาเสื่อมได้

    ผมเกิดความสงสัย เอ เราลืมอะไรไป แล้วการได้เป็น พระอรหันต์ล่ะ ทำอย่างไร ก็เริ่มค้นหาข้อมูล จนได้ เบาะแส ว่า การนั่งสมาธิ นั้นมี 2 แบบ คือ

   1. สมถภาวนา คือ การทำสมาธิ โดยอาศัย การภาวนา 40 กอง ต่างๆกันไป โดยเชื่อว่า หลายแบบมีมาตั้งแต่ก่อนจะมีพุทธศาสนา แม้พระพุทธเจ้า ในวัยเด็ก ท่านก็นั่งสมาธิ จนบรรลุฌาน มาแล้ว สมัยนั้นถือว่าการได้ฌาน เป็นเรื่อง ปกติ ผลดีของการทำ สมถภาวนาคือ ช่วยทำกิเลสให้ระงับ แต่ไม่ได้แปลว่า
ฆ่ากิเลสทิ้ง คือ ฌานเสื่อมเมื่อใด กิเลส ก็กลับมาอย่างแน่นอน

  2. วิปัสนาภาวนา คือ การพิจารณาขันธ์ 5 หรือ รูปนาม เอาตรงนี้ย่อๆ ว่า ในขันธ์ ทั้ง 5 นั้น เราสามารถแบ่งเป็น รูป และ นาม ได้ดังนี้

  ขันธ์ 5 ประกอบด้วย

 1.รูปขันธ์
 2.เวทนาขันธ์
 3.สัญญาขันธ์
 4.สังขารขันธ์
 5.วิญญาณขันธ์

   เมื่อสังเกตุ ดูดีๆ จะพบว่า ข้อ 1. คือ รูป และ อีก 4 ข้อ จับต้องไม่ได้ คือ นาม นั่นเอง เมื่อกล่าวว่า พิจารณา รูปนาม ก็คือ พิจารณา ขันธ์ 5 นั่นเอง

  และวิปัสนาภาวนานั้น เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว คือ ถึง อรหัตตมรรค ได้ อรหัตตผล ก็จะฆ่ากิเลสได้หมดสิ้น

   เมื่อพบข้อมูลเหล่านี้ จึงเริ่มสบายใจว่า หากจะเป็นพุทธแท้ ต้องมีการศึกษาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ครับ แม้ว่ายังไม่ได้ทำ หรือ ทำไม่ได้ ก็ยังได้ชื่อว่า ช่วยรักษาพระศาสนาครับ ผมเืชื่อว่า เป็นกุศลอย่างหนึ่ง

   และสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่า พุทธศาสนา มีของดี และของแท้ นั่นคือ การทำสมาธิแบบ วิปัสนาภาวนา นั้นมีแต่เฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น โดยเป็นหนึ่งเดียวในโลกอย่างแท้จริง ใครสนใจว่า วิชาวิปัสนา มีความลึกซึ้ง มีวิธีทำอย่างไร ต้องไปต่อยอดเอาเองนะครับ สุดยอดมากๆ

    วิปัสนาภาวนา จะไม่มีในศาสนาอื่นๆ ดังนั้น หากจะกล่าวว่า การทำสมาธิ เป็นของกลางของโลก นั่นคือ การทำ สมถภาวนา ไม่ใช่ วิปัสนานะครับ ต้องช่วยกัน จำ และ ทำให้ชัดในใจ เพื่อเป็นการรักษาพระศาสนา ไปในตัว

    ยังยกอีกข้อ ที่ พระท่านได้กล่าวว่า ไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี และ ทำจิตใจให้ผ่องใสขาวรอบ
เราก็ยืนยันกันตรงนี้ว่า 2 ข้อแรก ทุกศาสนาสอนเหมือนกัน แต่ ข้อทำจิตใจให้ผ่องใสขาวรอบ มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และ ส่วนนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างเอกอุ ก็ต้อง ปฏิบัติในแนวทางของ วิปัสนาเท่านั้นครับ

วันนี้พอเท่านี้ก่อน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)