Wednesday, November 20, 2013

กรรมที่ซ้ำๆ เราอาจจะรำคาญ ก็จงมีสติ สงบนิ่ง เห็นตัวเองแล้ว มันจะผ่านไป เชื่อในกฎแห่งกรรม

สวัสดีครับ

     ในช่วงชีวิตหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม หลายๆ คนจะพบว่า มีเรื่องราวบางอย่าง มันเหมือนตามราวีเราซ้ำๆ เปลี่ยนแต่ ฉาก สถานที่ บุคคล และ เหตุการณ์ เพียงแต่ จะมีความเข้มข้น มากน้อยนั้นต่างกันไป แต่เชื่อไหม นั่นเป็นการหลอกล่อให้เรา ทุกข์ไปเปล่าๆ ครับ

     ในพุทธศาสนานั้น มีเรื่อง กฎแห่งกรรม คอยกำกับอยู่ ซึ่งไม่ช้านาน กรรมดี หรือ ชั่วย่อมสนอง ผู้กระทำไม่ว่าเขาทำดี หรือ ทำชั่ว ก็ตาม เมื่อเราเป็น ชาวพุทธ และ ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าก็อย่าไป ไปหลงกล มารที่มาหลอกล่อครับ

     หลวงพ่อท่านหนึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สมัยก่อนผมเกิดเสียอีก ผมขออภัยจำฉายา ของท่านไม่ได้ เพียงแต่อ่านเจอในหนังสือว่า วันหนึ่งนั้น มีพระในวัด มาฟ้องท่านว่า ถูกพระอีกคนเขกหัวเอา เมื่อเรียกมาไต่ถาม หลวงพ่อท่านนั้นกลับ วินิจฉัยว่า พระรูปที่โดนเขกหัวน่ะผิด พระรูปนั้น งง เป็นไก่ตาแตก อ้าวทำไมผมผิดล่ะท่าน

      หลวงพ่อท่าน ว่า   ชาติก่อนคุณน่ะ ทำเขามาก่อน ชาตินี้เขาถึงได้ตามมาเอาคืน

    โครงเรื่องประมาณนี้ครับ หากผมเล่า คลาดเคลื่อนก็ขออภัยอย่างแรงไว้ที่นี้ครับ

     ข้อข้างต้น ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว เพราะว่า หลวงพ่อท่านได้ ฉายแนวคิดเรื่อง กฎแห่งกรรมให้เราเข้าใจได้ อย่างชัดเจน ในประโยคเดียว และ มันทำให้ผมฉุกคิด เรื่อง การจองเวรจองกรรมครับ

        ลองคิดดูนะครับ หากเราไม่คิดไป เอาคืน แก้แค้น อาฆาต ท้ายที่สุด กรรมเลวๆ นั้น สำหรับคนที่ทำกับเรา จะเล็ก จะใหญ่ จะบ่อย จะนานๆ ที มันจะย้อนกลับไปโดนที่ใคร ไม่ได้ให้สะใจ และ ให้ความสำคัญตรงนี้นะครับ เพราะ หน้าที่ ของกฎแห่งกรรมจะตามสนองเขาเอง ไม่มีทางหนีได้ ไม่มีใครล้างให้ได้ ทำอย่างไร ก็รับแบบนั้น ยิ่งมีจิตใจ ตั้งใจทำกรรมเลวมากเท่าใด ผลกรรมก็ทวีคูณไปเท่านั้น

         ขณะเีดียวกัน มีจิตตั้งใจทำ กุศลกรรม มากเพียงใด เราก็จะได้รับ ผลบุญมากขึ้นเป็นทวีคูณเช่นกัน ไม่เห็นหรือครับ คนที่ทำบุญเป็น เขาจะประนมมือตั้งจิตอธิษฐานกันก่อน ทำบุญเสมอ นั่นล่ะเป็นหนึ่งในการตั้่งใจในการทำสิ่งดีๆ ครับ

        แนวคิด ที่ได้จากหลวงพ่อ และ จากคำสอนในพุทธศาสนา นั้น อย่าได้แต่อ่าน ศึกษา แต่จงศรัทธา และ รอคอย หากท่านยังไม่เห็นผลกรรม กับคนที่ทำกับเราไว้ กับตา แสดงว่า ยังเร็วไปครับ (ไม่ได้ให้อาฆาตนะครับ ไม่ต้องนับวันรอด้วย แบบนี้กลายเป็นบาปไปอีกนะครับ ระวัง) เมื่อไรได้เห็นผลตอบสนองที่ กรรม ทำหน้าที่ของเขา คุณจะมีศรัทธา ที่ทวีคูณครับว่า คำสอน พระพุทธเจ้า นั้นเป็นของแท้ แน่นอน

        หรือหากไม่อยากรอนานนัก ก็จง ศรัทธา อย่างมีปัญญา มองเห็นสภาพธรรม รอบๆตัว เห็นการเกิดดับของ กฎแห่งกรรม ที่ผ่านมาในชีวิตเรา แล้วจงศรัทธา ให้จริง คุณก็จะมี เกราะคุ้มกันภัย จาก ภัยร้ายทั้งโดยไม่ตั้งใจ หรือ ภัยจากความตั้งใจ ของใครก็ตาม เป็นเกราะที่ล้ำเลิศ เกราะนี้คือ พลังศรัทธา นั่นเอง

         ศรัทธา นี้ดีอย่างไร

    1.ศรัทธาทำให้เห็นชัดในเรื่อง ธรรมะ ทุกข้อของพระพุทธเจ้า เกิดปิติ มั่นใจ และ อบอุ่นใจ กลายเป็น
       คนอยู่กับร่องกับรอย เพราะมีหลักยึด ที่ล้ำเลิศ คือ พระธรรมของพระพุทธเจ้า
    2.ศรัทธา เรื่องกฎแห่งกรรม จะลด ความพยาบาท อาฆาต การคิดแก้แค้น เอาคืน อารมณ์ โกรธ ลงได้
   เกือบ 100% เพียงแต่คุณเชื่อใน กฎแห่งกรรม นี่ก็ดีถมถืดแล้วสำหรับ ปุภุชน ที่ยังไม่มีเวลาปฏิับัติธรรมหลากหัวข้อ และลงลึก
    3.ศรัทธา ทำให้เห็นสภาพธรรม วันหนึ่งนอกจากจะเห็นผลของกรรม ทั้งดีชั่วจาก สิ่งแวดล้อมรอบข้าง คุณก็จะเห็นจาก เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณ กันอย่างชัดๆ แรงๆ ซึ่งผมบอกเลยว่า มันมีจริงๆ ครับ
    4.ศรัทธา ทำให้รู้ทันธรรมชาติว่า คนเรานี้ ถูกหลอกล่อให้ หลงใน 3 ทิศทาง คือ
 
             -โลภ
             -โกรธ
             -หลง
    รวมเรียกว่า อุปกิเลส

    ซึ่งมีในตัวเราทุกคน แต่ปัญหาคือ เราแก่ขึ้นทุกวัน ผมขอเตือนว่า ก่อนอายุราวๆ 40 ปี ควรหันหน้าไปทางสร้างความดี มากกว่า ย่ำอยู่กับ ความไม่ดี ความผิด ที่เราเองก็รู้ เพราะว่า จากประสบการณืของผม ผมเห็นมากับตา คือ

          1.จะเปลี่ยนยากขึ้น แต่หาก จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
          2. กรรมที่ไม่ดี จะปรากฎในระยะ 40 ปี เป็นต้นไป ค่อนข้างเร็ว และ มาก (มีข้อสังเ้กตุ ส่วนตัวว่า อาจจะมีผลมาจาก กรรมดีในอดีตถูกใช้ไปเยอะแล้ว กว่า 40 ปี กรรมดีปัจจุบันทำไว้น้อยไปหน่อย และ กรรมชั่วในชาตินี้กลับทำไว้เยอะั แบบนี้เป็นต้น อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ)

     สำหรับผม ก่อนอายุ 40 ปี เราควรได้นั่งวิเคราะห์ตัวเองให้เสร็จครับ สักหลายๆ รอบ มีกรรมแรงๆ อะไรบ้าง ที่ควรงดเด็ดขาด หลัง อายุ 40 ปี แต่ ก็เมื่อเราลงได้ นั่งทบทวนแล้วก็เริ่มมันเลยสิครับ จะรอ 40 ทำไม จริงไหม?

      5.ศรัทธา จะนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเรา ขอให้มีสติรับรู้ และ พอกพูน สิ่งดีๆ ให้มากขึ้น ขณะที่ ต้องรักษาสิ่งดีๆ เหล่านั้นไว้ให้ได้ มีการจัดระเบียบความคิด และอย่าทำแบบ ได้หน้าลืมหลัง ทำไปทำมา เหลือ ศูนย์ อีกแล้วแบบนี้ เสียดายโอกาสที่เราได้เป็น มนุษย์ในชาตินี้นะครับ


   โดยสรุปแล้ว ก็ขอให้ เผชิญกรรมที่ไม่ดี ด้วยความมีศรัทธาในกฎแห่งกรรมครับ และดูแลตัวเองให้ดีให้คิดว่า ต้องไม่ยอมแพ้ที่จะสร้างสิ่งดีงามให้มากๆเข้าไว้ ในภพภูมิของการได้เป็น มนุษย์ ในชาตินี้ของเราครับผม

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Wednesday, November 13, 2013

มีศีล มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

สวัสดีครับ

    คุณเคยมองท้องฟ้า ครั้งสุดท้าย ตอนไหน?
    คุณเคยยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ล่าสุดเมื่อใด
    คุณเคยหยุดนิ่ง แล้ว คิดทบทวน สิ่งที่ควรปรับแก้ มานานแล้ว เมื่อใด?
    คุณ เริ่มแปลกใจแล้วใช่ไหม ว่า คุณคือคน ที่เปลี่ยนไม่ได้?


  สิ่งทั้งหลาย มีสตินำ อย่าถามผมว่า ทำอย่างไร เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านได้ ทรงสอนไว้หมดแล้ว
ผมเพียงแต่เอามาเล่า เท่านั้นเอง

  เคยได้ยิน สิ่งนี้ไหมครับ

     ศีล สมาธิ ปัญญา

เชื่อไหม ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ที่ผมนำมาเป็นตัวอย่างนั้น แก้ได้ด้วย ศีล สมาธิ และ ปัญญา ทั้งสิ้น ผมขอวิเคราะห์ดังนี้

   1.ถ้าเรามีศีล แปลว่า เราเป็นคนเต็มคน เพราะ คนจริงๆ ต้องมี ครบ 5 ข้อคือ
         
           1.ไม่เบียดเบียนสัตว์
           2.ไม่ลักทรัพย์
           3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
           4.ไม่พูดเท็จ
           5.ไม่เสพของมีนเมา

       นอกจากเป็น คนเต็มคน แล้ว เรายังเป็น คนมีวินัยอีกด้วย เพราะการจะคงสภาพศีลทั้ง 5 ข้อไว้ได้ เป็นเรื่องที่ ท้าทาย มากๆ แต่หากเราต้องการเราก็ทำได้ ครับ พระและเณร ยังถือศีลมากกว่าเราอีกครับ

     การมีศีลดีอย่างไร การมีศีลดีเพราะว่า จะทำให้เรา มีความพร้อมในการปฏิบัติ คุณธรรมที่สูงขึ้นได้ นั่นคือ การปฏิบัติบูชา อีกแบบหนึ่ง คือ การทำสมาธิ

      ทำไมคนมีศีลจึง ทำให้เอื้ออำนวยต่อการ ปฏิบัติสมาธิ ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า เราจะมีชีวิตแบบปกติสุขมากกว่า คนไม่มีศีลครับ ทำไม?

       ลองตามผมมาครับ

    เมื่อเราไม่ เบียดเบียนสัตว์ เราก็ห่างจากการต้องชดใช้ กรรมที่ทำไว้ ในข้อนี้ ไปไกลๆ เช่น วัยรุ่น ชอบกดขี่ ข่มเหง ตีรัน ฟันแทง ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต เบียดเบียน สัตว์ และ คนด้วยกัน พอเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้มันจะ ต้องตามมาทวงสิทธิ แน่นอน มีข้อยกเว้นไหม ผมว่ามีนะ แต่ อย่าเสี่ยงเลยครับ หากบุญเก่าทำมาไม่ถึงจริงๆ กรรมมันตามในชาตินี้ล่ะ ที่ นิยมเรียก กันว่า กรรมติดจรวด ครับ

     พอถึงเวลาจะทำสมาธิ ก็มีเหตุ ต้องทะเลาะคนนั้น มีเรื่องมีราว เจ็บนั่น เป็นนี่ หรือ มีจิตใจ ที่กำเริบอาฆาต พยาบาท เพราะ ตัวเอง ใช้หลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มาตลอดชีวิต จึงไม่มีที่ลง หาทางออกให้กับ จิตใจ ตัวเองไม่ได้ เป็นต้น

      นี่เพียงเรื่อง ศีลข้อแรกนะครับ ผมว่าำำไปตามที่้้เรียนมาเล็กๆ น้อยๆ ครับ ผู้ที่ชี้ชัดเรื่อง กฎแห่งกรรมได้ชัด ลึก ที่สุดคือ พระพุทธเจ้า ครับ

      หากทำตรงข้ามล่ะ ศีลข้อแรก เราอยากจะลอง ทำให้ได้ จะทำอย่างไร

   อันดับแรกครับ เชื่อผมไหม    จงกล่าววาจาออกมาครับ ว่า

     คู่เวร คู่กรรม ที่ได้เบียดเบียน จองเวร จองกรรม กันมา ทุกภพ ทุกชาติ บัดนี้ "ข้าพเจ้า ขอให้อภัย" ทุกสิ่งอย่าง และ ไม่ขอ จองเวร จองกรรม กันอีกต่อไป

     เอาข้อนี้กันเลย   ท่านทำได้ไหม

   หลายคนบอก เฮ้ย มันง่ายไปไหม อะไร มัน ไอ้ อี มันทำกับเราขนาดนั้น ตอนนั้น ชั่วโมงนั้น นาทีนั้น วินาทีนั้น บางคนจำละเอียดเลย  จะให้อภัยมันได้อย่างไร ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ โอเคครับ ท่านคิดได้ หากเขาเคยเบียดเบียนท่านไว้ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติ เหมือนท่านล่อหลอกเรา ทำไม

     คนทำเรา ทำบาปกับเรา เขาทำเสร็จ ก็ไป แน่ล่ะ มันต้อง จองเวร ชดใช้กัน แค่ทำแล้ว เขาก็หายจ้อย ลืมไปแล้ว ส่วนเราตั้งแต่วินาที ที่เขาทำกับเรา ผ่านมา 10 ปี เราอาฆาต ทุกวัน ตลอดมา คำถาม ตกลงใครกันแน่ที่ซวย???

      พระท่านยังสอนว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และมีจิตใจที่ผ่องใสขาวรอบ เข้าใจไหมครับ

   ครานี้กลับมาเรื่อง เขาทำกับเรา ให้อภัยง่าย ๆ ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ มีอะไรบ้าง

       -ยุติธรรม เชิง กฎหมาย   ก็ว่ากันไปครับ มีศาล มีทนาย มาจัดการให้เรา ทำไปครับ ตามกฎหมาย
         บ้านเมือง ไม่ใช่ ใครมาทำอะไรเรา ก็ช่างเขาๆ ให้อภัยดะ ไม่ใช่ครับ ตามกฎหมายก็ต้องว่ากันไป
         แต่ ยึดไว้ในใจว่า เป็นการ สั่งสอน และ คงคุณค่าทาง คุณธรรมไว้ในสังคม ครับ

      -ยุติธรรม เชิง มึงกับกู    อันนี้เป็นเรื่อง เรากับเขา คือ ที่เป็นเรื่องเป็นราว น้ำผึ้งหยดเดียวเพราะ กูจะ
       เอาคืน แล้วมึงก็เอากูคืน  หรือ ทีมึงกูไม่ว่า ทีข้ามึงอย่าโวย  นั่นเอง อันนี้ ล่ะ ที่ น่ากลัว ที่เราอ่าน
       บทความนี้ ก็เพื่อขอให้ละในข้อนี้  คือ หากไม่ใช่เรื่อง คอขาด บาดตาย ขอให้  "ให้อภัย" ครับ

      -ยุติธรรม เชิง กฎแห่งกรรม นี่คือ ตัวที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดใน บทความนี้ ยุติธรรม ในทุกแง่มุม นั่น
       เพราะว่า กฎแห่งกรรม นั้น ไม่มีข้อยกเว้น ลบล้างไม่ได้ ทุกครั้งที่่เราทำบุญ กุศล เราจะได้ผลบุญ
       แน่นอน ไม่มี เทวดา มาร พรหม ที่ไหน จะมาแย่ง ความดีงามไปจากคุณได้ ขณะเดียวกัน หากคุณ
       ทำชั่ว ก็อย่าหวังว่า จะมีใครมาช่วยคุณได้ หากคิดง่ายๆ นะครับ

                     -พวกฉุกคิดได้ ก็เลิกเถอะครับ 1 วันผ่านไป ชีวิตสั้นลง หากพรุ่งนี้ หมดเวลาของเรา จะมี
                       เวลาไหนมาสร้างความดี สั่งสม อย่ากินของเก่าครับ รีบ ลด ละ เลิก แล้วรีบ ทำบุญกุศล
                       ครับ กรุณาปรึกษา พระสงฆ์ องค์เจ้า ครับ ด่วนเลย

                     -คนที่ทำกุศลมานาน แต่ทำแล้วไม่ได้ดี  ก็คิดใหม่ครับ ก็ของเดิม ยังใช้เขาไม่หมด จะหา
                       ทางลัดง่ายๆ ได้เหรอ อย่าโทษ ธรรมะ โทษตัวเองครับ ให้สั่งสมบารมี ทำกุศลไว้มากๆ
                       เมื่อไรเป็นเวลาของคุณ กุศลจะกระหน่ำเข้าหาคุณเอง จำไว้ครับ

                     -คนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง ก็ยังดี ผมอยู่ในประเภทนี้ ผมยังดีใจครับว่า หวนคิดกลับไป ผมมี
                       เรื่องดีๆ ไว้ให้ภูมิใจเหมือนกัน แต่ยังไม่เรียกตัวเองว่า คนมีศรัทธา เพราะยังไม่ทำจริง
                       จากนี้ไปก็ต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วครับ

                     -คนที่ทำมาดีมากแล้ว ท่านเหล่านี้ ไม่โอ้อวด เงียบๆ นะผมว่า ทำมาเป็นสิบๆ ปี ทุกข์ มี
                       สุขมี ถือว่า เป็น อมรมนุษย์ คือ มนุษย์ ดั่งเทพ มีสติ สัมปชัญญะพร้อม มีความสุข
                       เขาเหล่านี้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บางท่านมีบุญมาก่อน บางท่านมีปัญญาเห็นธรรม
                       บางท่านฝึกตนมาตลอด เอาเป็นว่า ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้

    เมื่อเป็นดังนี้ ความยุติธรรม ข้อ กฎแห่งกรรม นี่ล่ะ ที่จะตาม ราวี คนที่ทำชั่ว กับเรา ไม่ว่า เล็กน้อย ตั้งใจหรือ ไม่ตั้งใจ กรรม จะตามท่านเขาเหล่านั้นเอง หลักการในการ วางตัวของเราก็คือ
               
            *จงสำรวมกายของเรา เช่น อย่าเผลอสติ ไปประทุษร้ายเขา
            *จงสำรวมวาจาของเรา เพราะ ปากนี่ล่ะครับ ตัวดี เพราะของเสียออกจากปากง่ายสุด
            *จงสำรวมใจ  ยิ่งเราคิดแช่งชัก หักกระดูก "มัน" เราก็จะมีใจต่ำลงเรื่อยๆ ขุ่นมัวมากขึ้น
               อย่างที่บอก "มัน" ทำเรา "มัน" ลืมไปแล้ว แต่เรา เปลี่ยน เป็น จอมมาร เพราะ "มัน" เอาหรือ?
               สู้คิดแบบนี้ดีกว่าไหมว่า

                               "ช่างไม่รู้กฎแห่งกรรมเสียเลย วันหนึ่งทำอะไรไว้ ต้องชดใช้แบบนั้นล่ะ"

                 คิดแล้วก็รีบถอนใจออกมา คืออาจต้องระบายแบบนี้บ้างครับ เพื่อทบทวนแนวคิด ความเชื่อของเรา จากนั้นอย่าไปย้ำคิด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็น หลง ไปอีก

   ผมคงไม่ขอพูดถึงศีลอีก 4 ข้อ เำพราะก็จะมาในแนวเดียวกันคือ ต้องเตรียมตัว ละชั่วให้มากที่สุด จากนั้น ทำให้ตัวพ้นออกมาจาก กาวเหนียว นั้น ด้วยการให้อภัย เพราะท้ายที่สุด ครึ่งหนึ่งของกาว คือตัวเราเอง จึงไม่แปลกที่คนมากอยู่ บอกว่า ทำดีตั้งมาก ทำไมยังไม่ดี ก็ใจคุณ ยังเต็มไปด้วยความ อาฆาต พยาบาท คุณไม่เชือกฎแห่งกรรม คุณมองแต่ด้านดี ของกรรมคือ คนนั้นได้อันนี้ อย่างนี้ เราทำดีไม่ได้
แต่คุณลืมมอง ด้านไม่ดีคือ  กรรมอีกนั่นล่ะ ที่ทำให้ ได้ของดี หรือ ไม่ได้ของดี ใครจะไปรู้ชาติที่แล้วเราทำอะไรไม่ดีมา จริงไหมครับ แล้ว ชาติก่อนเขาทำดีมา จำไม่ให้เขารับอะไรเลย เป็นได้หรือ จริงไหม

    อย่ามัวไปเสียเวลา ถามกลับไปว่า เราทำอะไรมา ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เป็นกุศลกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวรอบของเราก็มาถึงเองครับ

     เอาล่ะ หากผ่านด่านเรื่องศีลมาได้เรียกว่า มีสติ มันจะทำให้เรา มีชีวิตที่นิ่งขึ้น พอมันนิ่ง เราก็จะมีเวลาทำสมาธิ ซึ่งควรกระทำอย่างยิ่ง พระท่านว่า การทำสมาิธิ เป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านยกย่อง หน้าที่เรา คือ ทำสมาธิ แล้วคุณจะพบเองว่า มันดีกับตัวคุณ และ สังคมเป็นอย่างมาก


     เมื่อมี ศีล สมาธิ ก็จะมีปัญญาเิกิดตามมา อันนี้ ให้ศึกษาจากพระท่านครับ ผมมิกล้าอาจเอื้อม เพียงแต่ให้เป็นพื้นฐานไว้ว่า

      สมาธิ อาจแยกเป็น 2 แบบใหญ่

    1.วิปัสนากรรมฐาน พิจารณา ขันธ์ 5 คือ รูปและนาม   (จะเกิดในโลกนี้โดยพระพุทธเจ้าเท่านั้น)
    2. สมถภาวนา พิจารณา กำหนดจิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

  ดังนั้นที่ว่ากันว่า สมาธิเป็นของกลางของโลก มีมาก่อน พระพุทธศาสนา นั้น คือ ข้อ 2. เท่านั้นนะครับ
ข้อ 1. ต้องจาก พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งโดยหลักของความเป็นอรหันต์ การค้นพบพระนิพพาน และโดยหลักการเข้าถึงสมาธินั้น ข้อ 1. ไม่ซ้ำแบบใครในโลก จริงๆ

  อีกนิด: ผมยังเป็นคนมีกิเลส เพียบ แต่ ผมนิยมชะล้างมันอยู่เสมอ อย่าสนว่าผมเป็นใคร สนเพียงแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า (โดยถามตัวเองว่า ในโลกนี้ ล่วงผ่าน 2,600 ปีแล้ว มีกี่คนที่ คนทั่วโลกยังเคารพกราบไหว้ จริงไหมครับ ผมว่านี่ล่ะ ปาฎิหาริย์ ) และให้ผมเป็น เพียง เพื่อนร่วมทางใน หนทางแห่งธรรมะ ที่ต้องกรุยทางกันต่อไป ของคุณก็พอแล้วครับ :0)

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

   

Friday, November 8, 2013

เขียนไว้กันลืม ธรรมะจากช่องวัดสังฆทาน เรื่อง สมาธิบริวาร กับมหาสติปัฏฐาน4

สวัสดีครับ

    ผมได้เปิดทีวีดาวเทียมแล้วก็พบช่องธรรมะ จากวัดสังฆทาน มีหลวงพ่อท่านหนึ่ง ท่านเทศน์ได้น่าฟัง
เรื่อง การทำสมาธิ ที่ได้ผลแต่ตอนทำ พอออกมาแล้ว ก็มีคนมาทวง เหมือนเราเดินไปในป่า โดน
สิงห์สาราสัตว์ ตามมากัด ส่วนนั้นส่วนนี้ ทำให้ผมได้ตาสว่าง ว่า เออจริงของท่าน

    ท่านเทศน์ต่อว่า มีพรหมองค์หนึ่ง พูดต่อหน้าเทวสภาว่า การทำสมาธิเฉยๆ เป็นสมาธิของปุถุชน ผู้ทรงศีลหรือปฏิบัติจริงจัง ต้องมี สมาธิบริวาร คืออะไร?

    ท่านกล่าวโดยสรุปว่า มันคือ บอดี้การ์ด น่ะเอง คือแม้ออกจากสมาธิมาแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติจะไม่เสียเปล่า
เพราะเหมือน ผู้นำประเทศ ที่มีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน ไม่มีอันตราย จากสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ

    สมาธิบริวาร ที่ว่า คือ  มหาสติปัฏฐาน4 นั่นเอง ความมีสติ นี่ละ คือ บริวาร ที่คอยคุ้มกัน สมาธิของเรา

 ฟังแล้ว ชื่นใจ + เข้าใจ การทำสมาธิ ได้เฉพาะตรงนั้น ออกมาจากการทำสมาธิแล้ว ก็เดี่ยวๆ เรากับสิงห์สาราสัตว์ การจะยืนหยัดอยู่ได้ ต้องมี สติ หากขาดเสียแล้ว ทำไป ก็เหมือน เครื่องยนต์ ติดๆ ดับๆ ดับๆ ติดๆ อยู่อย่างนั้น น่าเสียดายๆ ยังมีเวลากันนะครับพวกเรา ก็เมื่อ

     ทำสมาธิกันได้แล้ว ต้องเจริญสติด้วยครับ เรียกว่า มีบอดี้การ์ดชั้นหนึ่งคอยคุ้มภัยครับ

อ้ออีกประเด็นที่ท่านกล่าว: เราต้องเห็นตัวเองก่อนนะ ผมจำที่ท่านพูดต่อไม่ได้นักแต่ผมใช้วิธีนี้
               
        "ตอนนี้คุณน่ะ "ในความคิด" คุณเห็น ใบหูข้างซ้ายไหม เห็นท้ายทอยไหม อย่าทำเป็นเล่นนะครับ
       เราไม่ค่อยเห็นตัวเองด้วยซ้ำ การมีสติให้ทำตรงข้าม เห็นตัวเองให้ได้ก่อนครับ
            ...ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า เห็นหรือยัง..."


สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)