Tuesday, July 8, 2014

หวนกลับจำ ส่ิ่งดีๆ ที่กลับคืน

สวัสดีครับ

   เรื่องมีอยู่ว่า สมัยผมเป็นวัยรุ่น เลือดลมเดินแรง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในคณะที่ใช้เหตุผล การทดสอบ ทดลอง ให้ปรากฎจริง คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้ บุคลิกวิธีคิดก็เป็นไปแบบนั้น แต่ด้วยการเป็นนักกิจกรรม ทำให้ ทำกิจกรรมเล่น มากกว่าเรียน ทำให้เรียนกันหลายปี จนเริ่มท้อ

    ปัญหาจากการเข้าสังคม ในการทำกิจกรรมระหว่างเรียน ก็พบว่า เราไม่ถูกใจ คนมากมาย เพราะว่าไปคนเราดำเนินชีวิต ตามที่เขาชอบ มากกว่าจะแคร์คนอื่นๆ พบเรื่องไม่มีเหตุผล มากๆ ก็เครียด เริ่มไม่ชอบคนมากขึ้น  แต่รู้ตัวว่า มันไม่ใช่เรื่องดี

    กิจกรรมทำมาก ก็ได้ทักษะการอยู่กับคนมากขึ้น แต่ดูแล้วมันเหมือนไม่จริงใจ ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ปัญหามาอยู่ที่เรื่องเรียน เพราะตอนนั้น ฟุ้งซ่านเยอะมาก

    จนครั้งหนึ่ง ได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ได้พบ วลี 2 วลี คือ

    1. มันเป็นอย่างนั้นเอง และ
    2. กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว

   ทำให้ได้คิดครั้งใหญ่ ว่า คนที่ใช้เหตุผลเก่ง แต่ใช้ผิดเรื่อง ขาดการถอย การยอม การปลง ขาดอุเบกขา มันคือการทำร้ายตัวเองเพราะ ว่า

    ข้อแรก เราจะพายเรือวนอยู่ในอ่าง ตลอดไป เพราะมัวแต่หาเหตุผล กับ เรื่องที่ไม่ควรต้องใช้ความ
                คิดขนาดนั้น
   
    ข้อที่สอง  อาจถูกคนที่เห็นโอกาส ปั่นหัวเอาได้ โดยการใช้จุดแข็งของเรา คือการใช้เหตุผล มาปั่น
                   หัวเรา เพราะคนมีเหตุผล ส่วนมาก ไม่คิดทำร้ายใคร ดังนั้น เขาอาจย่ามใจทำแล้วทำ
                   อีก อย่าง สุมาอี้ ไม่ยอมออกมารบกับขงเบ้ง เพราะรู้ว่า ขงเบ้งใช้ความคิดในการรบ ดัง
                  นั้น ทุกอย่างต้องมีแผน สุมาอี้ หลบสบายหลังกำแพงเมือง จบเลย

  "มันเป็นอย่างนั้นเอง"  ทำให้เราได้แนวคิดว่า แทนที่จะถามว่า ทำไม แบบนี้ๆ ทำไมเกิดแบบนี้ ทำไมๆ ก็คิดเลยข้ามไปตอนจบเลยว่า  มันเป็นอย่างนั้นเอง

   "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  ข้อนี้ทั้งกับเรื่องราว และ กับคน เมื่อมันหมดหนทาง หรือ คิดแล้วเซ็งกับเรืองราวหรือคน จนไม่รู้จะไปทางไหน ก็ให้คิดว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว ก็ทำให้ข้ามไปตอนจบได้เลย

  ขอให้ใครที่สนใจ ลองไปหาอ่านแบบเต็มๆ กันนะครับ มีทั้งหนังสือและ ในเน็ต

  ผมอ่านเรื่องราวพวกนี้ในราวๆ ก่อนปี 2539 คือ นานกว่า 18ปีแน่ๆ หลังจากนั้น ชีวิตผมเปลี่ยนนะครับเพราะ เมื่อก่อนผมหลงคิดว่า เรามีธรรมะ ก็อยู่ได้อย่างสบาย แต่ใช้ธรรมะไม่เป็นเลยแย่ครับ และงงว่าทำไมชีวิตช่วงนั้น ทุกข์มากจัง
 
   พอมาอ่านเจอวลีข้างต้นก็ได้คิด หันกลับมามองคำสอนทั้งหมดใหม่ และเริ่มเข้าใจว่า เราใช้ผิดวิธี ศาสนาไม่ได้ผิด แต่เราต่างหากที่ใช้ผิดวิธี

    มาถึงวันนี้ ประสบการณ์ชีวิตหลังเรียนจบ ตอนที่เรียน และ การทำงานกว่า 17 ปี ทำให้ผมหลงลืมสิ่งที่พบในวันนั้น จะเรียกว่า ลืมแก่น ไปหมด แต่ ผลส่วนใหญ่ ยังมีอยู่ ทำให้ แม้จะลืมแต่ชีวิตส่วนใหญ่ค่อนข้างดี ระยะหลัง ยังมีการ เขียนหลักธรรม เขียนบล็อกมีประโยชน์อีกจำนวนหนึ่งให้คนอ่านกัน เพราะหลงคิดไปว่า เราชั่วโมงบินสูงพอแล้ว

     ซึ่งจริงๆแล้ว ผมยังต้องถือว่า สิ่งที่มีคือ ชั่วโมงในการเรียนรู้ต่างๆหาก และต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ต้องมีสติ ปัญญามากกว่านี้มาก คือผมยังเด็กประถมอยู่เลย

      ที่บอกว่ายังเด็กประถมก็คือ เมื่อมีปัญหาสุขภาพเข้ามา ก็ทำให้เกือบเสียพลังศรัทธา ที่เราเคยมี ผมจึงไม่แปลกใจที่ เคยอ่านเจอในหนังสือว่า คนที่ตายไปแล้ว หมอกู้ชีวิตคืนมาได้ จะกลายเป็นคนมีบุคลิกใหม่ไปเลย บางคนเป็นเดนคน เปลี่ยนเป็นนักบุญไปเลย เพราะรู้คุณค่าชีวิตนั่นเอง

        ท้ายสุด การมีชีวืตที่สุขภาพดีนี่ล่ะสำคัญมาก เราต้องดูแลตัวเองด้วยไปพร้อมๆ กับการมีธรรมะ
ดังนั้นการเกิดอะไรขึ้นกับ สุขภาพ จะเหมือน ข้าศึกมาประชิดพรมแดน แม่ทัพจบใหม่ รู้แต่เร่ืื่องในตำรา อาจฝึกทหาร อาจวางกำลังเป็น แต่ พอจะรบจริงๆ ข้าศึกอยู่ที่กำแพงเมืองแล้ว ก็อาจจะรบไม่เป็นก็เป็นได้ หัวหน้ากองร้อยแก่ๆ อาจจะมีวิสัยทัศน์ในการรบเก่งกว่า แม่ทัพในตอนนี้ก็เป็นได้

        คนที่มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมพอมีปัญหาสุขภาพ แล้วเขว ตกถนน ก็อย่าโทษตัวเองครับ เพราะเป็นได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ศาสนาสอนผิดแต่ เราต่างหากที่ยังไร้ประสบการณ์จริงไหม

         ตัวผมเองตอนนี้มีอาการเจ็บหลัง แต่ก็ออกกำลังกาย ทำกายภาพ มาตลอดและพบวา่ดีขึ้นมาก และดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะกำลังใจ หากผมยอมรับสภาพ ก็เจ็บๆ ไป ป่านนี้จะเป็นอยางไร ลองคิดดู นอกจากนั้น ยังมีการใช้ อิทธิบาท 4 คือ ทำทุกข้อ และใคร่ครวญเรื่อยๆ พบวิธีใหม่ๆ ตลอดก็เอามา
ทดลองทำ คือเอาหมดที่ดี มันก็ย่อมดีกว่าไม่ทำเลยจริงไหม

         แต่พอทำมาสักพัก ก็เริ่มมีความลังเล บ้าง เพราะเราคือคนธรรมดา วันนี้เช้าก็ เกิดวาบความคิดว่า เราเคยต่อสู้แบบแทบไม่มีความหวังเลยมาแล้ว จำได้ไหม....ความคิดมันพาไปของมันเอง

       ทำให้ผมได้คิดว่า ผมเคยผ่านเรื่องคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว จริงๆหลายครั้ง และผ่านได้ ทำไมท้อแท้เสียล่ะ จึงเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

        ผมในตอนนั้น น่าจะราวๆ 20 ปี สมัยเรียนใกล้จบแล้ว แต่อย่างที่บอก ผมนักกิจกรรม เรียนเลย
ชะงักๆ จนมาถึงเทอมที่ต้องลง วิชาเครื่องกล หรือ เมคคานิคส์ ที่จริงๆ ไม่ยาก เพราะมีทั้งภาคทฤษฎี ที่เก็บคะแนนได้สบายๆ กับ ภาคคำนวณที่ต้องมีการแตกแรง คำนวณ แรงต่างๆ เช่นรับน้ำหนักได้เท่านี้ เท่านั้น ทำอย่างไร

         จำได้ว่า เข้าเรียนบ้าง โดดบ้าง ตอนนั้นไปเล่นบาสครับ เล่นทุกวัน ทำกิจกรรมนี่เพียบ  จนเข้าสู่การสอบ ผมทำคะแนนกลางภาคค่อนข้างดี แต่พอมาสอบปลายภาค ผมต้องไปใส่ใจวิชาอื่นๆ จนตกใจว่าไม่เหลือเวลาอ่านให้กับ วิชานี้แล้ว เพราะเหลือแค่ 1 วันก่อนสอบ

          ผมจำได้วิชานี้เปิดสอนปีละครั้ง เท่านั้น และ ผมจะจบช้าไปอีก เป็นปี หากสอบไม่ผ่าน
คะแนนก็ทำไว้ได้ดีมากตอนกลางภาค ทำไมเป็นแบบนี้

       คิดโทษตัวเองมากมาย เรื่องราวตั้งแต่ต้นเทอม เข้ามาในหัวว่า เราเสียเวลาไปทำอะไรบ้าง พลางถามตัวเองว่า ทำไมๆ เราเป็นแบบนี้ ผมทุกข์ใจมาก

        แต่ความจำเป็นบังคับครับ เพราะหากไม่ผ่านเทอมนี้ผมจบโน่นเลย ใกล้ 7-8 ปี หรืออาจลุกลามไปเป็นต้อง ออกเพราะหมดเวลาเรียนตามข้อบังคับที่ 8 ปี

         ผมเครียดมาก เป็นความรู้สึกของการไม่มีทางเลือก หมดทางออกจริงๆ กับเวลา 1 วันก่อนสอบ

        ผมต้องตัดสินใจว่า ยอมรับสภาพสอบๆ ไป ตกก็ตก หรือ สู้

      ผมสู้ ครับ!!!

     ผมตัดสินใจ ไปอ่านหนังสือสอบที่ห้องสมุด จำได้ว่าชั้น 3 เน่ืองจากเป็นช่วงสอบ ทำให้เกือบจะนั่งอยู่คนเดียวทั้งชั้น แอร์เย็นๆ เลยกลายเป็นหนาวไปเลย โดดเดี่ยว อยู่คนเดียว นั่งอ่านไปตั้งแต่บทแรกผ่านไปทีละหน้า จนมาเจอจุดที่ยากก็ท้อใจ เอ้าพักแล้วอ่านซ้ำๆ จนเข้าใจผ่านไปได้ จาก บทแรกเป็นหลายบท แต่เริ่มรู้แล้วมันยากมากๆ

     ความคิดมากมายประดังเข้ามา

   ...มึงยอมแพ้ไปเถอะเป็นไปไม่ได้ มันยาก
     ...มึงทำไม่ได้ มึงทำไม่ได้
      ...ถึงจะอ่านไปจนจบทุกบท ยังต้องท่องสูตร และ จำหัวข้อต่างๆ อีก ไม่ทันหรอก
และ อื่นๆ อีกมาก

   จน วลีที่สอง ที่ว่า "กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว"  โผล่ขึ้นมาในความคิด

    ผมจึงลองใช้ดู พอมันคิดว่าจะยอมแพ้ ผมไม่สนมันครับ แล้วก็บอกว่า กูไม่เอากับมึงอีกแล้วๆๆๆ
ทำไปเรื่อยๆ จน มันนิ่งไปเอง แล้วอ่านต่อไป จนจบ และท่องสูตร จดจำทฤษฎีต่างๆ อย่างตั้งใจ
ตอนนั้นผมเพลียมากแล้ว ต้องลงไปกินข้าว และตัดสินใจกลับไปอ่านต่อที่หอพัก

   แน่ละต้องบริหารเวลานอนพัก และ เวลาตื่นให้ดีๆ รวมทั้งไปให้ทันสอบด้วย

   ผมเข้าห้องสอบแบบค่อนข้างสบายใจ และ ผลสอบออกมา ผมผ่านครับ และ ได้เกรดสูงด้วย
 นี่ล่ะที่ว่า หากเราใช้ธรรมะเป็น มันเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ

    สำหรับผม การคิดว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง คือ ปลงเป็น
                      และ  กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว คือ ไม่วนอยู่ในอ่างน้ำ แต่ข้ามโอ่งครับ จะได้ไปไหนต่อไหนกันต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)                


   

No comments:

Post a Comment