Wednesday, April 9, 2014

เผลอไปเดี๋ยวเดียว จะครบปีแล้ว กับการเริ่ม สวดมนต์ ทำสมาธิ เราทำได้จริงหรือเนี่ย???

สวัสดีครับ

    ราวๆ กลางปีก่อน(มิ.ย. 2556) วิถีชีวิตของผม ต้องผ่านอะไรบางอย่าง ทำให้เบื่อๆ เซ็งๆ แล้ว เช้านั้นก็ไม่เหมือนทุกเช้า ลุกขึ้นมานั่งก็มองไปที่เตียงโซฟา ใกล้ๆ เตียงนอน คือมันพับเป็นโซฟาได้ มีกองหนังสือแบบห้องชายหนุ่มทั่วไป คือ รกๆ กองอยู่ๆ เห็นคู่มือ สวดมนต์ คติธรรมะ เล่มเล็กกว่าฝ่ามือวางอยู่ ก็หยิบมาอ่านและได้ข้อคิดดีๆ มากมาย ใจเริ่มสบาย แล้วผมก็เริ่มสวดมนต์ กันดีกว่า หลังจากที่หยุดมานาน

   ย้อนกลับไปราวๆ ระหว่าง พ.ศ.2545 -2547 ผมสวดมนต์ แทบจะเช้าเย็น ทุกวัน ทำติดต่อกันมากที่สุดยาวนานที่สุดในชีวิตของผม แต่เขินหน่อย ที่ว่า ผมหันกลับมาสวดมนต์เพราะ หนังอินเดีย ทำไม?

    ย้อนกลับไปอีก ราวๆ ปลาย 45 เข้า 46 ผมทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ในสถาบันแห่งหนึ่ง ก็มีนักศึกษามาฝึกงานหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กต่างชาติ ชาวอินเดีย ผมนึกสนุกบอกน้องคนนี้ว่า เข้าปีใหม่ปีนี้ นายมีหนังอินเดียแนะนำไหม เอามาสักเรื่องสิ มีไหม

     มีครับ น้องมันรับคำ

     ผมได้หนังเรื่องนั้นมา ก็ดูๆ แล้วเฉยๆ มันเหมือนหนัง เลียนแบบแรมโบ้ยังไงชอบกล ก็กดปิดไม่ดูต่อก็คืนหนังเขาไป แต่พอได้เรื่องที่สองมา มันประทับใจ เพลง การถ่ายทำ เนื้อหา เออ น่าสนใจกว่าที่เราคิดดูไปแซะ 6 รอบ แบบงงๆ

     จากนั้นก็สนใจและหาหนังอินเดียมาดูเอง ถามเขาไปเรื่อยจนรู้ว่า ต้องข้างห้าง ATM พาหุรัต นะนาย ก็ไปซื้อมาหลายเรื่อง เจ้านักศึกษาฝึกงานเห็นเราชอบ ก็เข้าทางหามาให้ยิืมดูอีกเป็นสิบเรื่อง จนกลายเป็นสาวกหนังอินเดียยุคใหม่ ไปโดยปริยาย

      ผมฟังฮินดีได้หรือ ผมฟังไม่ออกครับ แต่ ดู ซับไตเติ้ล ภาษาอังกฤษ ครับ สบายๆ เขาใช้ Plain English ครับ ผมเรียนมายากกว่านี้ ทำให้ เข้าใจเนื้อหาสบายไป

      แต่เมื่อราวๆ กลางมาปลาย 46 เริ่มมีค่ายหลังนำหนังอินเดียมาทำขาย ทั้งแบบมีลิขสิทธิ์ และ ไม่มี ผมเลย เปรม เลยครับ ซื้อมาดู ตามชอบ ตามแนวดาราที่เรารู้จักมาก่อน ซึ่งล้วนดารายุคใหม่ๆ ดังๆ ก็ซื้อเรื่อยๆ จนมีหนังเป็น ร้อยเรื่อง เชื่อไหม ไม่ได้บ้าหนังครับ แต่ชอบศึกษาแบบเจาะลึกครับ

     ดูจน ฟังคำฮินดีได้หลายครับ อย่าง Pahle แปลว่า ครั้งแรก Ajanabee แปลว่าคนแปลกหน้า มันเหมือนคำในกวี ก็นั่นล่ะครับ เพลงมันก็คือ กวี นี่ล่ะ ส่วนมากได้จาก คำร้องในเพลงครับ แล้วเทียบกับคำแปลอังกฤษ

     แล้วก็เลิกรากันไป ทำไม?  ก็โรตี โดน กิมจิ ตีแตกกระเจิง กลับมุมไบครับ มันเริ่มมีละครเกาหลีดังๆ เข้ามา ครับ ซีรี่เกาหลี ช่อง ITV นี่ดังมากกกกกกกกกกกกก  จนกระแสหนังอินเดียเริ่มหดหายไปเรื่อยๆ แต่ยังมีเห็น EVS กับ โรส นี่ล่ะครับ ที่มีการนำมาทำขายกันมาจนถึงวันนี้ จากหลายสิบมาเป็นคัดมาเป็นบางเรื่องครับ

    เอ้าพามายาวเลย จากหนังอินเดียเรืองหนึ่งเป็นหลายเรื่อง ผมเห็นในครอบครัวเขาจะมีคนสวมชุดขาว สวดมนต์ เช้า เย็น และนำถาด ที่มีไฟมงคล ไปวนให้สมาชิกในบ้าน เป็นการให้พร ดูแล้วก็ประทับใจ เออมันคลาสิคดี ดูไปก็มีแทบจะ ครึีงๆ ที่เป็นแบบนี้

     จนวันที่ประทับใจคือ ผมว่าคนที่เป็นแบบนี้ชีวิต มีแบบแผนดี ดูดีบอกไม่ถูก เลยคิดว่า ทำไมหนังไทยไม่มีฉากแบบนี้บ้าง มันออกจะดี ก็คิดว่า เอ้า เราชาวพุทธ ก็มีสวดมนต์นี่ทำไมไม่ทำเองล่ะ แล้วก็เริ่มสวดมนต์ไหว้พระมาแต่นั้น จำได้ว่า ทำได้ ราวๆ เกือบ 2 ปีครับ แล้วก็เลิกไป ด้วยสาเหตุใด จำไม่ได้

      แต่สิ่งที่ได้มาคือ สวดดีกว่าไม่สวด แน่นอน

      จนมารอบนี้ ผมก็จะมีทั้งสวดมนต์ และ ทำสมาธิ ต่อมาบางเดือนภาระมาก เหนื่อยล้า ก็ทำแต่สมาธิอย่างเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ครับ นั่งอยู่กับที่ นั่งทำเรื่องไร้สาระ ยังนั่งนานกว่านี้ นี่นั่งแค่ 30 นาที หรือชั่วโมง จะทำไม่ได้เชียวหรือ?

       ดูเหมือนง่ายใช่ไหม ฮ่ะๆๆๆ ลองนั่งก่อนเหอะครับ วันละ 15 นาที เอาให้ได้ 5 วันติด ค่อยสรุปครับ สิ่งที่ผมพบมาจากการนั่งสมาธิ เกือบ 1 ปี ในอีก 2 เดือนนี้ก็คือ

    1. หลายปีก่อน สมาธิเข้าง่ายมาก แต่ปัจจุบัน เข้ายากกว่าเดิม มันมีหลายปัจจัย ครับ ดังนั้น ใครเข้ามาปฏิบัติแล้ว รู้สึกง่าย อย่าทิ้งนะครับ จับแล้วทำไปเลย ผมใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะเข้าสมาธิแล้ว ง่ายและนิ่งเหมือนสมัยก่อน อย่าได้ประมาทครับ ทำดีกว่าไม่ทำ

    2. มาต้นปี พ.ศ.2557 นี้ ทำสมาธิแล้วอึดอัด แน่นๆ มาหลายเดือน แต่ไม่ย่อท้อ จนที่สุดต้องเริ่มหาข้อมูล ดูทีวี ว่าเราทำผิดหรือเปล่า เพราะของดีแบบนี้ ไม่ควรอึดอัด และก็พบว่า เราทะลึ่งเอง คือพอนั่งมาเริ่มชำนาญ ก็คิดไปเองว่า ต้องแบบนั้นแบบนี้ น่าจะดี แล้วไปกำหนดลมหายใจ ตามที่เราคิด ตามหลักการ (ของกูเอง) นอกครู ครับ  แต่นะมีวาสนา ดึงกลับมาได้ สรุปคือ แย่ที่สุด จงหายใจแบบธรรมชาตินะครับ อย่าไปคุมลมหายใจแบบของตัวเอง ต้องมีครูแนะนำนะครับ ระวังๆ พอกลับมาแบบธรรมชาติ เออ หายวันนั้นเลย โง่เพราะอวดฉลาดมานานราวๆ 2 เดือน

  3. ความรู้เดิมๆ จากการอ่านหนังสือ จากฟังคุณพ่อของผม เมื่อตอนเด็ก เริ่มกลับมาเรื่อยๆ คือ พบว่า สมาธิ มี แบบทำเพื่อจิตสงบ จิตนิ่ง เสวยสุขในองค์ฌาน ก็ ฌาน 1,2,3 และ 4 และอรูปฌาน 4 รวมเป็น
8 ระดับ พ่อผมเล่าให้ฟังตั้งแต่เล็กๆ และ เรื่องการพิจารณา ต่างๆ จนเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น ความรู้พวกนี้เริ่มกลับมา และจำได้หมายรู้ว่า ตอนเด็กๆ และตลอดมา ผมชอบนั่งสมาธิแบบ อานาปานสติ หรือ การระลึกถึงลมหายใจเข้าและออก ทำได้ดี ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย

4. ทำแบบข้อ 3. มาได้พักใหญ่ ก็ไปได้ยินในโทรทัศน์ ช่องวัดสังฆทานโดย  หลวงพ่อหลายท่าน (ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง) เรื่อง การเห็นตัวเอง  คุณเห็นตัวเองแล้วหรือยัง ได้ยินคำว่า อสุภะ ให้พิจารณาซากศพ และอื่นๆ เป็นคำที่คุ้นเคย เพราะชั้นมัธยมก็มีสอน พ่อเคยพูดให้ฟัง ในโยคะก็มีท่านี้

  "เห็นตัวเอง" เออ ปิ๊งเลย ผมลองนึกถึง ท้ายทอย  ผมตกใจ เออ เมื่อกี้ เราไม่เห็นว่ะ คือมันไม่ได้นึกึง ท้ายทอยเรา ไม่มีขา มันอยู่กับเราตลอด แต่เราไม่เห็น เฮ้ย เข้าท่าว่ะ  คิดประมาณนี้

  ก็คิดว่า คงเหมือนการเจริญสติ นั่นล่ะ ก็ลองทำบ้าง พบว่า มันทำให้เรา อยู่กับ เรามากขึ้น เพิ่งรู้สึกว่า ไอ้ที่สงบๆ นี่ ที่เราขัดเกลาตัวเองมานานแสนนาน ก็ยังมีกิเลส โคตรมากคล้ายเดิม แต่เหมือนมีอะไรคุมอยู่ แต่พอสติหาย กิเลสกำเริบ มันก็ไปหมดเหมือนเดิม เพราะเราเอาใจไม่ยุ่งกับทุกเรื่องที่เข้ามา นั่นเอง

  มันเหมือนง่ายแต่ ลองทำดูก็แล้วกัน ฮ่ะๆๆๆ


    บางทีใช้ธรรมะหลายหมวด หลายข้อ เข้ามาระงับสติไว้ ไม่ให้กำเริบไปตามกิเลส เพราะเบื่อน่ะ แต่เบื่อได้ไม่นาน เอ้าให้เลย 2 ปี แต่พอกลับมาจะ โลภ โกรธ หลง มันก็กลับมาเต็มๆ อีก มันเลยเหมือนสงบเป็นพักๆ และบางที ก็กลับถอยหลังไปยิ่งกว่าเดิม มันเหนื่อยนะว่าไหม

    จึงไม่แปลกที่คนปฏิบัติธรรม จะถูกปรามาส ว่าไม่เห็นจะทำได้เลย ก็จะทำได้ไงง่ายๆ ละครับ เพราะ โลภ โกรธ หลง สมัยนี้มันมีหลากรูปแบบ และไฮเทคเสียขนาดนั้น มันต้องมีแพ้ชนะกันบ้าง แต่ เราคือนักรบแห่งธรรม หรือ นักปฏิบัติธรรม จะให้ทิ้งเพราะแพ้ศึก ไม่มีทาง ต้องต่อสู้ต่อไปครับ

    จนมาวันหนึ่ง เริ่มสนใจ การเห็นตัวเอง ก็ได้ข้อมูลจากโทรทัศน์ช่อง วัดสังฆทานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า
มันคือการพิจารณาที่

    -ให้เห็นตัวเอง
    -อยู่ในบริเวณของตัวเอง อยู่กับตัวเอง จิตไม่ฟุ้งไปนอก
    -เหมือนเต่าในกระดอง
    -พิจารณา เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง
    -ทำได้ไหม ตลอด 24 ชั่วโมง เว้นตอนหลับนะครับ
    -อยู่กับเรา ปัจจุบันนี่ล่ะ อย่าไปสนว่า เขาจะอย่างไร อะไร ทำไม จิตออกไปก็ดึงกลับมาทำซ้ำ
    -ขณะพิจารณ เน้นภาวะปัจจุบัน หาก มีภาพอดีตขึ้นมา สติก็เคลื่อนแล้ว จริงไหม

และอื่นๆ อีกมากมาย

  สรุปคือ เห็นตัวเอง นั่นล่ะ

    พอเริ่มทำการทดลองแบบเห็นตัวเอง ก็ชื่นชมว่า มันเจ๋ง ครับ เอาว่าตอนนี้ใครอ่านอยู่ ลองคิดง่ายๆ นะครับ เห็นรูปทรงของร่างกายคุณจากศรีษะถึงเท้าไหม ว่ารูปทรงเป็นอย่างไร บางคนตกใจนะครับ พอเอาจิตมามองดัวเอง มันแปลกดีครับ

    แต่ผมยังเน้นฝึกสมาธิแบบ อานาปานสติของผมเป็นหลัก จนเร็วๆ นี้ ได้ฟังธรรมเพิ่มเรื่อง กายคตาสติ ท่านว่า มีอานิสงส์มาก ได้ทั้ง ฌาน และ ญาณ ไปด้วยกันเลย ผมเองนั่งเพื่อ หลักการที่ผมเขียนไว้ในบทความก่อน ที่ว่า

        หนึ่งหยดน้ำ แลก มหาสมุทร

    คือต้องเริ่มจาก ศรัทธา ก่อนนะครับ ถามตัวเอง เราชาวพุทธ เรามีศรัทธาหรือยัง เมือมี ก็ใช้พละ 5 สิครับ เชื่อว่ามันมีจริง ตามคำสอน ก็ลงมือทำ

 พละ 5 ก็ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญาครับ

    ผมไม่ได้ไปเน้นเรื่อง จะได้คุณวิเศษอะไร หวังเพียงหลักการ หยดน้ำแลกมหาสมุทร เท่านั้นครับ ลองอ่านในบทความที่แล้วดูครับ

     เราก็ชอบนะ พระสูตร กายคตาสติ ทำ 1 ได้ถึง 2 คือ ทั้ง ฌานและญาณ เรียกว่าประหยัดเวลาได้ไหม
หลวงพ่อท่านยืนยันในการถามตอบในรายการ ว่าเป็นตามนั้น ขณะนั้นมี ญาติโยม โทรเข้ามาสอบถาม

   ญาติโยม แจ้งผลการปฏิบัติ แบบแนวทางอื่นๆ ก็ยังถือว่าอยู่ในพุทธศาสนา และเน้นว่า ทำให้จิตนิ่งดีมาก ถามว่าจะได้คุณวิเศษนั้นนี่ได้ไหม

    หลวงพ่อท่านตอบ โดนใจผมมาก ได้คุณวิเศษแล้วไงโยม นี่มันเรื่องเล็กจ้อย คนที่เป็นนักปฏิบัติเข้าผ่านกันมาหมดแล้ว มีได้ มีเสื่อม ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน จะปฏิบัติก็ต้อง เอาให้ถึงนิพพานสิโยม

    ญาติโยม บอกว่า เวลาทำแล้วจิตนิ่งดีมาก

   หลวงพ่อท่านบอกว่า  โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก

  (เล่าไปตามแนวเรื่องที่ได้ยินนะครับ ไม่ได้ถอดความมาแบบเป๊ะๆ)

  ประโยคที่ว่า โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก ทำให้ผม ได้คิดเลยครับ หลังจาก งมโข่ง มาเป็น 20-30 ปี จริงๆ ด้วย มันเชื่อมโยงกับ ความเหนื่อย กับอายุที่มากขึ้น ถึงจะเนียนแค่ไหน ถึงจะมีปัญญาเพียงใด ก็มีสิทธิ หลุดได้เสมอ หากคุณ ทำสมาธิไปในสาย สมถ หรือ สุขจากฌาน ลองนึกภาพนะครับ

      จิตนิ่งมานับสิบๆ ปี เกิดกามกำเริบ มันคิือ หนึ่งใน นิวรณ์ 5 จำได้ไหม ศัตรูร้ายของการปฏิบัติสมาธิเลย ข้อแรกด้วย จึงเกิด พระสึกไปแต่งกับสีกา ไง เห็นกันโต้ง

      จิตนิ่งมานับสิบๆปี ก็ยังโกรธจนลุกมา เตะ คนได้ ก็มี ผมนี่เคยเห็นคลิป 1 ที่คนที่มีชื่อเสียงมากๆ เหมือนจะย้ำว่า การแผ่เมตตาไม่ต้องแผ่ให้ตัวเองก่อนก็ได้ ซึ่งมันแย้งกับแนวทางของพุทธศาสนาเอง ผมยังงงๆ แต่วิทยากรอีกคน รวมทั้ง ผู้ดำเนินรายการก็ยังอุตส่าห์ชวนท่านกลับมาแบบอ้อมๆ ท่านก็ยังย้ำเหมือนเดิม แบบนี้ล่ะน่ากลัว

     แล้วคนเหล่านี้ก็ถูกสังคม วิจารณ์ไปต่างๆ นานาๆ ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่เห็นทำได้เลย ผมไม่โทษคนเหล่านี้ครับ เพราะอย่างน้อย ท่านได้เคยไปรบ มาแล้ว กับ นิวรณ์ทั้ง 5  คล้ายๆ กับ ทหารที่เคยไปรบ อย่างน้อย ยังเล่าเรื่องในสนามรบ ได้ดีกว่า นักอ่านเรื่องสงครามในห้องสมุดล่ะว่ะ จริงไหม? ขออย่างเดียวอย่าทำให้ศาสนาแปดเปื้อน ไม่ไหว ก็สึกเสียครับ อ้อมีอีกประเภท

     พวกมาปฏิบัติแล้วขี้โอ่ ผมเคยนั่งแท็กซี่ แล้วคนขับอวดภูมิรูู้เรื่องอภิญญา อะไรมาก มาย ย้ำอีกนะบอกว่า เขาตายไปจะได้เป็นพรหม อะไรไปโน่น บ้าทั้งเพ พรหมวิหาร 4 ยังไม่มี จะเป็นได้ไง ข้อ อุเบกขา
ทำตัวกลางๆ เอ็งขี้โอ่ขนาดนี้ พรหมสมาคม เขาไม่ให้เข้าหรอก

 
      ในรายการข้างต้น จากคลิป ที่ผมอ้างอิงไว้ วิทยากรท่านที่ดูเข้ารูปเข้ารอย ย้ำว่า ผู้ปฏิบัติควรเห็นได้จาก ความมีเมตตา มาก่อน ไม่มักโกรธ ผมยึดข้อนี้มาก่อนเลยครับ และ ขอเตือนนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า ปฏิบัติแล้วควรมี

        -จิตเมตตาที่เพิ่มพูน
        -ลดอกุศล เพิ่มกุศล
        -ไม่มักโกรธ
        -สำรวม ระวัง
        -จิตผ่องใสเป็นส่วนใหญ่
        -มีมารยาท
        -ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
        -พรหมวิหาร 4

8 ข้อข้างต้น เป็นอย่างน้อยที่ควรมี ผมล่ะทำได้หรือยัง ยังไม่ครบครับ แต่คิดว่ามันต้องมีแบบนี้ เพราะอะไร

หากคนจะชื่นชมเราเพราะขี้โอ่ เขาดูหนังแอ็คชั่น ฮอลลีวู้ดดีกว่าไหม
หากคนจะชื่นชมเราเพราะมักโกรธ เขาดูหนังนักเลงตีกัน ดีกว่าไหม

 เราไม่จำเป็นต้องใช้ความแปลก เป็นจุดขายในเรื่องธรรมะนะครับ

  แต่ถ้าคุณหันกลับมาทำสมาธิ แบบสาย วิปัสนา ผมแม้ยังไม่ได้สำเร็จอะไรเลย แม้แต่นิด ก็พบว่า มันลึกซึ้งและทรงคุณจริงๆ ครับ ทำไม?

   คือ จากประโยคที่ว่า โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก กับสิ่งที่ผมได้รู้ได้เห็นมา และอย่างยิ่งกับตัวเอง คือ มันนิ่งอยู่ได้ไม่นานจริงๆ เพราะคนมีท้อแท้ครับ ยังไงก็ต้องมี แล้วมันก็ทุกข์อยู่ในใจจะมากน้อยก็แล้วแต่กิเลสคนครับ ขนาดผมได้เรียนรู้มาค่อนข้างมาก ถูกอบรมสั่งสอนมา ปฏิบัติสายสมถะมา(เน้นธรรมะหมวดต่างๆ เป็นส่วนมาก) มากกว่า 20 ปี โดยเน้นข้อธรรมะ และ สมาธิแบบสมถะ ผมยังหลุดบ่อยๆ เลยครับ แน่ล่ะ ได้สมาธิเรื่องการทำงานอันนี้ได้ครับ คนทำสมถภาวนาย่อมดีกว่าคนไม่ทำล่ะ แต่เรื่องจิตผมก็สงสัยมานานแล้วทำไมมันมีช่วงหลุดเป็นระยะๆ เสมอมา และบางครั้ง เริ่มสงสัย ลังเลว่า ทำไปทำไม หากผลเป็นแบบนี้....

  อย่างไรก็ตามเมื่อมาพิจารณาแนวคิด ของ วิปัสนากรรมฐาน ก็พบว่า นีคือทางที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างน้อย มันทำให้เราเป็นคนดีแท้ๆ ล่ะ แม้ไม่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด เช่นว่า พระท่านสอนว่า

   ..ให้พิจารณาให้เห็นตัวเอง อยู่กับตัวเรานี่ล่ะ ถามว่า โลภ โกรธ หลง มีไหม มีแต่การพิจารณา จะทำให้เรามีพวกนี้น้อยลงไปมาก และ ให้ระวังว่า ในใจยัง โลภ โกรธ หลง แม้มี ก็อย่าได้แสดงออกมาทาง กาย และ วาจา....

    ถามตัวท่านเอง อยู่ใกล้กับคนแบบข้างต้น ท่านว่าดีหรือไม่ดี

   มันโดนใจผมเต็มๆ เพราะหากเรา ยังแสดง โลภ โกรธ หลง ออกมาทาง กายกับวาจา เรียกว่า ออกมา
นอกตัวเองแล้ว น่ะครับ มันก็พ้น การเห็นตัวเอง ที่เน้นการพิจารณาตนเอง จริงไหม มันเป็นหลักการที่สอดรับกันอย่างแนบสนิทจริงๆ

    ในวันนั้นพระท่านกล่าวประโยค โยมมันนิ่งอยู่ได้ไม่นานหรอก ท่านยังสั่งสอนอีกว่า ลองพิจารณาเห็นตัวเราว่าเป็นโครงกระดูกอยู่ตลอดเวลาสิ อย่ามองว่า นี่หญิง นี่ชาย นี่เรา แต่ให้มองว่า ข้างในน่ะโครงกระดูกทั้งนั้น......
 
     พอดีผมกำลังจะนั่งสมาธิตามโปรแกรมของผม พอรายการจบลองนั่งดูพิจารณาตามนั้นเลย เออเพิ่งนึกออก ข้างในใต้ผิวหนัง แกนของร่างกายเราเป็นโครงกระดูกนี่หว่า โครงกระดูกนี้หายไปไหนมาทำไมเราจำไม่ได้หว่า อ้อเพราะเรามัวหลงแต่เรื่องภายนอกมา 42 ปีนี่เอง โง่จริงๆ เรา

     เพิ่งจำได้ว่าเรามีโครงกระดูกเลยพิจารณาหัวถึงเท้า เท้าถึงหัวได้ 40 กว่านาที แบบงงๆ ทำไมเวลาผ่านไปเร็วมาก? แต่จิตมันสงบ กว่านั่งสมาธิแบบสมถะ ที่ทำมาหลายเดือนจริงๆ เออแปลกเว้ยเฮ้ย หลังจากนั้นอีก 2-3 วันก็พิจารณามาเรื่อยๆ จน เมื่อวันหนึ่ง ก็สลับกลับไปนั่งแบบ สมถะ คือ อานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก ก็เกิดปิติ ยังไม่ใช่ ปิติแบบจาก องค์ฌานนะ ผมยังไม่ไปไหนเลย แต่ปิติแบบประหลาดใจ คล้ายๆ กับการว่ายน้ำเป็นครั้งแรก ขี่จักรยานเป็นครั้งแรกประมาณนั้น คือ

        "ผมพิจารณาลมหายใจเข้าออกได้โดย ไม่มีจิตแวบ ออกไปคิดเรื่องภายนอกเลย ตลอด 30 นาที"

   โดยไม่ต้องพยายาม ตั้งสติด้วยซ้ำ มันเริ่ม ก็นิ่งเลย....นั่นเพราะอะไร

     อารมณ์มันจับแบบเดียวกับตอน พิจารณาโครงกระดูกครับ อารมณ์นั้นล่ะ แม้ไม่ละเอียดเท่าแต่ มันทำไปได้ คือ นิ่งแต่วินาทีแรกเลย ไม่น่าเชื่อ ขณะที่ ผมต้องใช้ความพยายาม ราวๆ 20 นาทีทุกครั้งในหลายเดือนที่ผ่านมา กว่าจะมีสมาธิแบบนี้ คืออยู่กับปัจจุบัน ในการนั่งแบบสมถะ

     มันจึงน่าทึ่งมากๆ อย่าเพิ่งไปหวังคุณวิเศษเลยครับ เอาแค่ วิปัสนา มันส่งผล ให้ สมถะ ขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ น่าทดลอง น่าสนุกจะตายไป จริงไหม ?

     คุณล่ะทำได้ไหม ได้ครับ แต่มันต้องลงมือทำครับ นี่ล่ะความท้าทาย ขนาดพื้นฐานแบบนี้ผมยังทึ่งขนาดนี้ แล้วที่เหลือล่ะ มันจะขนาดไหน จริงไหม ?

    ผมเรียกสิ่งนี้ว่า วิปัสนา ส่งเสริม สมถะ ครับ

     ขณะเดียวกัน ในศาสนา จะมีการสอนว่า คนเริ่มใหม่ๆ อย่าได้ละทิ้ง สมถะ เพราะปรากฎอยู่ใน มรรคมีองค์ 8 ไปหาอ่านกันเอง เพราะว่า สมาธินั้นส่งเสริมการทำงานใช่ไหม การที่คุณมีสมาธิ งานการก็ลุล่วงใช่ไหม แล้วหากเป็นสมาธิระดับฌานล่ะคุณว่ามันจะขนาดไหน จิตจะลึกซึ้้งเพียงใด จริงไหม ท่านให้ปฏิบัติ สมถะ แล้วใช้ สมถะ มาพิจารณา ในการทำสมาธิในแบบวิปัสนา ครับ เป็นเหตุเป็นผลกันดีมาก

    จึงอาจกล่าวได้ว่า

    สมถะ ส่งเสริม วิปัสนา และ
    วิปัสนา ส่งเสริม สมถะ      

  เสริมกันและกันครับ

  พระท่านยังกล่าวอีกประเด็นว่า การพิจารณา ต้องระลึกรู้ กำหนดรู้ และพิจารณา ข้อนี้ผมหลังๆ มาในการปฏิบัติตัวเอง เริ่มทำผิดทิศทาง คือ กลายเป็นไม่รับรู้ แล้วเฉยๆ พอกลับมารับรู้ ก็ทุกข์อีก แต่ไม่คิดมากเพราะมันขัดเกลามาจน ทุกข์น้อย และใจเย็นลงมามากแล้ว แต่ผมว่าผมทำ ลัดขั้นตอนเกินไปครับ

   ของแท้ต้องพิจารณา รับรู้ ต้องรับรู้ตามสภาพธรรม เช่น โกรธคือเรากำลังโกรธ ทุกข์ ก็เห็นว่าทุกข์ จากนั้นพิจารณา ไปตามหลักของวิปัสนาแบบนี้ แล้วค่อยลึกซึ้งไปถึงขั้น เฉยๆ ได้จริงๆ

   ในสายสมถะ การทรงองค์ฌาน จะมีสุขอย่างมาก จนเบื่อสุขทางโลก (ได้ชั่วขณะนั้นในองค์ฌาน) คนที่ทำได้บ่อยๆ ก็อาจจะหลงติดในฌาน ท่านว่า เบื่อแบบนี้ ก็มีประโยชน์แต่ไม่ใช่ของแท้

    ออกจากฌานมา ก็มีสิทธิ หลุดได้ทุกเมื่อ เรียกว่า เบื่อแบบไม่มีประโยชน์ แม้จะมีข้อดีก็ตาม

    แต่ในการ ปฏิบัติแบบวิปัสนา มันจะทำให้เบื่อ แบบมีประโยชน์ คือของแท้ เบื่อแล้วเบื่อจริง เพราะมาในทาง แม้ร่างกายตัวเองก็ไม่ปลื้ม คนเราหากละทิ้งความปลื้มในร่างกาย ตัวตนได้แล้ว ก็สุดๆ แล้วครับ
ขอนี้ท่านให้ เจริญ กายคตาสติ ท่านทั้งหลายลองต่อยอดกันเองนะครับ

   ย้ำว่า ไม่ว่า สมถภาวนา หรือ วิปัสนภาวนา ควรมีครูที่สอนให้ตามหลักพระพุทธศาสนา อย่างเคร่งครัดน่าจะดีที่สุดครับผม

พบกันใหม่ในบทความต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

No comments:

Post a Comment