Thursday, December 19, 2013

ในพระพุทธศาสนา มีคำสอน หนึ่งที่ว่า "“บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น"

พระพุทธธรรม โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 

คัดลอกมาจาก เว็บไซต์ ลานธรรมจัีกร 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12831

ประทับใจมาก จะเป็นคนดี ควรมีข้อนี้ด้วย จะเหมือนยกก้อนหินหนักๆ ออกจากศรีษะ
แม้เราไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่ คิดแต่เพ่งโทษผู้อื่น เรานี่ล่ะจะหนักใจไปเอง ระวังครับ
สาธุๆๆ
ขอขอบคุณ เว็บไซต์ ลานธรรมจักร ไว้ ณ. ที่นี้

(กรณี ต้นฉบับจริงๆ อาจจะเป็นจากที่อื่น ขอขอบพระคุณเช่นกันครับ และโปรดแจ้งกระผม ที่
konthaihappy@yahoo.com ขอบคุณครับ)

******************************************************************************

พระพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น

อัญเชิญพระพุทธภาษิตนี้มาช่วยประเทศชาติของเราเถิด ถึงเวลาแล้วอย่าปล่อยให้สายเกินไป รู้อยู่แก่ใจ ว่าบ้านเมืองกำลังวุ่น กำลังร้อน อย่าไปมัวเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้

โดยมิได้นึกถึงตนเองเลยว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ที่เป็นบุญกุศล ไม่เป็นบาปไม่เป็นอกุศล แล้วทำตามที่คิดในทันที การมัวไปเพ่งโทษคนอื่นว่าทำผิดอย่างนั้น ทำไม่ดีอย่างนี้ นอกจากไม่ให้คุณแก่ใครแล้ว ไม่ช่วยประเทศชาติให้ร่มเย็นเป็นสุข 


มีพระพุทธภาษิตเตือนไว้ว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” เพราะไม่มีคุณสมบัติ มีแต่โทษสถานเดียว

ทุกคนน่าจะพยายามอยากเป็นบัณฑิตตามพระพุทธพจน์ พร้อมกับไม่ลืมนึกไปพร้อมกันด้วยว่า“บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” และขณะนี้กำลังอ่านหนังสืออบรมจิตใจ เรียกว่าหนังสือธัมมะก็ไม่ผิด

เมื่อกล่าวถึงบัณฑิตจึงเป็นบัณฑิตทางธรรมด้วย คือเป็นคนดีมีปัญญา ไม่มีการศึกษาระดับปริญญาเอกโท ตรี เลยก็เป็นบัณฑิตในพระพุทธศาสนาได้ แม้เป็นคนดีมีปัญญา แต่แม้มีปริญญาเอก โท ตรี แต่ไม่มีความดีไม่มีปัญญา คือไม่ใช่คนดีมีปัญญา ก็ไม่ใช่บัณฑิตในทางธรรมในพระพุทธศาสนา

เมื่อนึกเช่นนี้ขึ้นมา ก็ทำให้นึกเลยไปจนได้ความคิดมาฝากให้เป็นประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลาย นั่นก็คือเกิดความคิดเพ่งโทษผู้อื่นเมื่อใด ให้มีสติรับรู้ความจริง และบอกความจริงนั้นแก่ตนว่า ตนไม่ใช่บัณฑิต เพราะถ้าตนเป็นบัณฑิตก็คงไม่ไปเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ ต้องเพ่งโทษตัวเองเท่านั้น 

ก็ขอฝากไว้ให้พยายามมีสติระลึกรู้ความจริงนี้ไว้เสมอ ว่าตนเป็นบัณฑิตหรือไม่ใช่บัณฑิต อายตัวเองหรือไม่อาย เมื่อรู้แก่ใจว่าตนไม่ใช่คนดีมีปัญญา มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ยังไม่ปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมครูทรงสอน

: แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๗
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 

******************************************************************
ด้วยจิตคารวะ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, December 11, 2013

คติในใจ เมื่อถูกรบกวนด้วย สิ่งไม่ดี จงท่องไว้ นรก นรก นรก และ สวรรค์ สวรรค์ สวรรค์

สวัสดีครับ

      กระบวนการในสมอง และ จิตใจของคนเรา ต่างกัน แต่ ในระดับทางโลก อะไรที่ ถูกใจตัวเอง เรามักจะมีความสุข ด้วยกลวิธี ที่นำธรรมชาติข้อนี้มาใช้  บุคคลที่ยังมี กิเลสในตนมาก แต่อยาก ขัดเกลาตนเอง อาจให้วิธีนี้ได้  เช่นว่า


                เมื่อคุณประสบ กับ บุคคล เหตุการณ์ อะไรที่ ไม่ดี ร้าย ไม่ยุติธรรม เอาเป็นว่า เป็นอกุศล
  คุณรับรู้ได้ ว่า มันไม่ใช่เรื่องดี คุณคิดว่า คนที่ทำสิ่งเหล่านี้กับคุณ จะไปสวรรค์ หรือ นรก
   ตอบได้ง่ายๆ   ไปนรก เพื่อชดใช้กรรม หากเขาไม่ปรับเปลี่ยนตัวเอง ฟันธงว่า แน่นอน

            จำวลีนี้ได้ไหมครับ  
         
                              "ไม่มีสิ่งใดที่ทำแล้วเสียเปล่า ไม่มีกรรมใดที่ทำแล้วไม่ส่งผล"
          คือ

                         "ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"  นั่นล่ะ

              จงท่อง วลี นี้ ขึ้นในใจ คุณทันที ที่ประสบเหตุการณ์ อกุศลต่างๆ ดังนี้

           "นรก นรก นรก คนเหล่านี้ ไม่รู้หรือว่า บั้นปลายที่ทำ อกุศลกรรม ต้องไปชดใช้กรรม  ที่ นรก?"

      จิตใจเราจะรับรู้ได้ทันที ว่า เราได้รู้ทัน และ ผ่อนคลายอารมณ์ลงไปทันที อย่างรวดเร็ว ลองดูครับ

      ในขณะเดียวกันนั้น ให้ต่อด้วย ความคิด ในใจว่า
       
         "สวรรค์ สวรรค์ สวรรค์ เราผู้ไม่ถือสา ให้อภัย ย่อมมีที่หมายบั้นปลาย ที่สวรรค์ เป็นแน่แท้ "

        นี่ล่ะครับ กลไกนี้ อาจช่วยคุณดับอารมณ์ โลภ โกรธ หลง ได้ลงได้ อย่าง มหาศาล

 แต่ แต่ แต่  อย่าเพิ่งฝันหวานเกินไป ต้องฝืกทำไปครับ ไม่นาน คุณจะสนุก กับการได้ทำ แบบนี้ ซึ่งจะนำคุณ ไปสู่ธรรมะ ที่สูงขึ้น ลึกซึ้งขึ้นในที่สุด

สวัสดีครับ
คุณบอลล์

ปล. นรก นรก นรก ...สวรรค์ สวรรค์ สวรรค์
        เหล่านี้คือการย้ำเตือนสติตัวเองว่า เราจะไปที่ไหน และเราถอยห่างจากอะไร ...สาธุ

มารยาทดี ทำแล้ว ได้อะไร ในทางโลก และ ทางธรรม

สวัสดีครับ

     การมีมารยาท ที่ดี ขอบอกว่า สามารถฝึกได้ มีความยาก ความท้าทายไม่น้อยกว่า การที่เราไปฝึกวิชาการต่อสู้ อย่างนั้นเลยนะครับ เพราะว่า มันต้องผ่าน การต่อสู้กับตัวตนของตัวเองเสียก่อน
คนโบราณเคยบอกว่า จิตใจคนเรา นั้นมันดื้อ มีกำลังมาก ต้องปรามด้วย สติ และ เรื่องสติ นี่จะมีสอนเหมือนกันทั้งใน หัวข้อ มารยาท และ ศิลปการต่อสู้

      ใครเคยเรียน หรือ ดูหนังแนวที่มีการต่อสู้ อาจารย์ หรือ ปรมาจารย์ จะสอนเสมอให้ เป็นผู้มีใจอารี ไม่ทำร้ายใครก่อน ฝึกวิชาไว้เพื่อป้องกันตัว พิทักษ์รักษา คนที่เรารัก ขณะที่ ขั้นสูงสุดของการฝึกวิชาในสายเอเชียคือ มีการนั่งสมาธิ เพื่อรู้จักตัวเอง ประมาณนี้ นี่แบบนี้ ต้องมี คำว่า ใช้ สติ แน่ๆ

        การเรียนมารยาทก็เ่ช่นกัน หากเราไม่ใช่คนที่ฝึกสติ สันดานดิบมันจะออกมาครับ นี่ไม่ใช่คนตรง (คนตรงนิยามเป็นอย่างไร อ่านบทความที่ผ่านมาครับผม) แต่เป็นคน ที่ไม่รู้จักขัดเกลาตัวเองต่างหาก คนเราเิกิดมา ไม่ได้เพื่อ มีความสุขแต่กับตัวเอง หรือกับคนใกล้ชิดไม่กี่คน แต่ ต้องดูแลสังคมด้วยในฐานะ สุภาพชน นั่นเอง การจะเป็นสุภาำพชน ได้นั้น ต้องมี สติ เช่นกันครับ และการฝึกตัวเองให้มีมารยาทนั้น ต้องตั้งใจขัดเกลา เพิ่มพูนสติ ไม่ด้อย ไปกว่า การฝึกศิลปะการต่อสู้ครับ หากไม่เชื่อ ลองฝึกเลยครับ
(คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมาก่อนจะเห็นชัดเลย)

           อย่างไรก็ตาม คนที่มีมารยาท มักจะได้รับการยอมรับในสังคม มีความเป็นสุภาพชน และผู้คนมักยกย่อง นับถือ ขอให้คุณมีมันจริงๆ เถอะ ไม่ใชมีบ้าง ไม่มีบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่า แอ๊บแบ๊ว คือ แสร้งทำ
แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีมารยาทจริงๆ แบบนี้ไม่ไหวครับ

          คนมีมารยาท มีความเป็นผู้ดีจริงๆ จะเข้า กับวลีที่ว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ครับ ระยะสั้นมากๆ อาจจะยังไม่เห็นผลแต่ระยะปานกลางถึงยาว จงดำรงความมีมารยาทเข้าไว้ รับรอง จะเห็นผลจากชื่อเสียงขจรขจาย จากการพิสูจน์ นานปี

            มารยาทกับเรื่อง บุญกรรม มีความเกี่ยวข้องกันจนแยกออกจากกันไม่ได้ นั่นเพราะ ขณะที่เราทำเราต้องมี สติ ข้อหนึ่งแล้ว เรายังต้อง ระวังตัวเองระดับหนึ่ง มันก็คือ การปฏิบัติธรรมกลายๆ นี่ล่ะครับ ข้อที่ผมชอบนำมากล่าวอ้างคือ สัมมาวายาโม คือ ความเพียรชอบ เป็นหนึ่งในมรรคมีองค์แปด ครับ

        สัมมาวายาโม เป็นอย่างไร ก็คือ การประกอบสิ่งดีให้เพิ่มพูนกับตัวมากๆ จากสิ่งน้อย ไปจนสิ่งใหญ่ๆ ขอให้พากเพียรทำไป ขณะที่ยังต้องประคองรักษาความดีนี้ไว้อย่าให้หนีหายหรือ เสื่อมลง เมื่ออายุมากขึ้น เวลาผ่านไป ความดีงามจะเพิ่มพูนประดับตัว แม้ใครที่ไหนไม่รู้ ฟ้าดินรู้ เรารู้เอง ข้อนี้สิสำคัญ เรารู้ เราจะเกิดความภาคภูมิใจ คล้ายๆ กับ เศรษฐีในทางโลก มีเงินทอง มีชีิวิตสุขสบาย เขาก็ภาคภูมิ แต่ในทางธรรม เราเป็นมหาเศรษฐีความดี มหาเศรษฐีแห่งกุศลธรรม เราก็ภาคภูมิเช่นกัน คนพวกนี้ จะมีความองอาจ ผ่าเผย สีหน้าผ่องใสเป็นนิจ ทนทานต่อ อกุศลธรรม มาร ศัตรู จะแพ้ภัยไปเอง

            ข้อสรุปแรก คือ รักษากุศลธรรมเดิมไว้ให้เพิ่มพูน ไม่บกพร่อง ขณะที่หมั่นสร้าง กุศลธรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมเสมอ ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะอย่าลืม ภพภูมิ ที่ได้เกิดเป็น มนุษย์นั้น แสนยาก นะครับ เกิดเป็นคนแล้ว เร่งสร้างความดีงามเพิ่มเข้ามาใส่ตัวให้มากๆ ครับ ทำให้ได้ทุกวัน ครับ

      ขณะที่แม้เราจะไม่ใช่คนขาวสะอาดเสียเท่าไร แต่ หากเว้นจากอนันตริยกรรม 5 ข้อแล้ว ล้วนจะสามารถบรรลุธรรมะขั้นสูง ของพุทธศาสนาได้ เมื่อมีการบำเพ็ญเพียร ดังนั้น แสดงว่า ในหลักธรรมแล้วเราสามารถที่จะ ขัดเกลาตัวเองให้ ขาวสะอาดได้ อย่างเท่าเทียมกัน หากเราตัดสินใจ ที่จะบำเพ็ญเพียร
แต่เป็นแบบนี้แล้ว จงศรัทธาเสมอว่า เราจะลด ละ เลิก อกุศลใหม่ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก และ ชำระล้าง อกุศลเก่า ของเดิม ที่ทำไปแล้วให้หมดสิ้น โดย การ ลด ละ เลิก เช่นเดียวกัน นั่นเอง

            ข้อสรุปที่สอง คือ การลดละเลิก ระวังไม่ให้อกุศลใหม่ เกิดขึ้นมา ทำให้ได้ทุกวัน จากนั้น ให้ดูว่าอกุศลเดิมอะไร ที่ทำแล้ว เกิดแล้ว ให้ถอยห่าง ลด ละ เลิก ให้หมด นี่คือวิธีที่ควรกระทำ


   จากจข้อสรุปทั้ง 2 ข้อ คือ แนวทางของ มรรค ข้อหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า สัมมาวายาโม ครับ ซึ่งผมซาบซึ้งในธรรมะข้อนี้มาก เนื่องจากเพียงข้อเดียว ก็แทบจะทำให้โลกใบนี้ สงบได้ จากทุกข์ภัยทั้งหลายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าหากทำกันได้ ครบ มรรคมีองค์ 8 ล่ะ โลกของเราจะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน และสำหรับตัวบุคคลล่ะ เขาคนนั้นจะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน?

       นี่คือบทความอีก 1 บทความที่ขอฝากไว้ครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, November 20, 2013

กรรมที่ซ้ำๆ เราอาจจะรำคาญ ก็จงมีสติ สงบนิ่ง เห็นตัวเองแล้ว มันจะผ่านไป เชื่อในกฎแห่งกรรม

สวัสดีครับ

     ในช่วงชีวิตหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม หลายๆ คนจะพบว่า มีเรื่องราวบางอย่าง มันเหมือนตามราวีเราซ้ำๆ เปลี่ยนแต่ ฉาก สถานที่ บุคคล และ เหตุการณ์ เพียงแต่ จะมีความเข้มข้น มากน้อยนั้นต่างกันไป แต่เชื่อไหม นั่นเป็นการหลอกล่อให้เรา ทุกข์ไปเปล่าๆ ครับ

     ในพุทธศาสนานั้น มีเรื่อง กฎแห่งกรรม คอยกำกับอยู่ ซึ่งไม่ช้านาน กรรมดี หรือ ชั่วย่อมสนอง ผู้กระทำไม่ว่าเขาทำดี หรือ ทำชั่ว ก็ตาม เมื่อเราเป็น ชาวพุทธ และ ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าก็อย่าไป ไปหลงกล มารที่มาหลอกล่อครับ

     หลวงพ่อท่านหนึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สมัยก่อนผมเกิดเสียอีก ผมขออภัยจำฉายา ของท่านไม่ได้ เพียงแต่อ่านเจอในหนังสือว่า วันหนึ่งนั้น มีพระในวัด มาฟ้องท่านว่า ถูกพระอีกคนเขกหัวเอา เมื่อเรียกมาไต่ถาม หลวงพ่อท่านนั้นกลับ วินิจฉัยว่า พระรูปที่โดนเขกหัวน่ะผิด พระรูปนั้น งง เป็นไก่ตาแตก อ้าวทำไมผมผิดล่ะท่าน

      หลวงพ่อท่าน ว่า   ชาติก่อนคุณน่ะ ทำเขามาก่อน ชาตินี้เขาถึงได้ตามมาเอาคืน

    โครงเรื่องประมาณนี้ครับ หากผมเล่า คลาดเคลื่อนก็ขออภัยอย่างแรงไว้ที่นี้ครับ

     ข้อข้างต้น ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว เพราะว่า หลวงพ่อท่านได้ ฉายแนวคิดเรื่อง กฎแห่งกรรมให้เราเข้าใจได้ อย่างชัดเจน ในประโยคเดียว และ มันทำให้ผมฉุกคิด เรื่อง การจองเวรจองกรรมครับ

        ลองคิดดูนะครับ หากเราไม่คิดไป เอาคืน แก้แค้น อาฆาต ท้ายที่สุด กรรมเลวๆ นั้น สำหรับคนที่ทำกับเรา จะเล็ก จะใหญ่ จะบ่อย จะนานๆ ที มันจะย้อนกลับไปโดนที่ใคร ไม่ได้ให้สะใจ และ ให้ความสำคัญตรงนี้นะครับ เพราะ หน้าที่ ของกฎแห่งกรรมจะตามสนองเขาเอง ไม่มีทางหนีได้ ไม่มีใครล้างให้ได้ ทำอย่างไร ก็รับแบบนั้น ยิ่งมีจิตใจ ตั้งใจทำกรรมเลวมากเท่าใด ผลกรรมก็ทวีคูณไปเท่านั้น

         ขณะเีดียวกัน มีจิตตั้งใจทำ กุศลกรรม มากเพียงใด เราก็จะได้รับ ผลบุญมากขึ้นเป็นทวีคูณเช่นกัน ไม่เห็นหรือครับ คนที่ทำบุญเป็น เขาจะประนมมือตั้งจิตอธิษฐานกันก่อน ทำบุญเสมอ นั่นล่ะเป็นหนึ่งในการตั้่งใจในการทำสิ่งดีๆ ครับ

        แนวคิด ที่ได้จากหลวงพ่อ และ จากคำสอนในพุทธศาสนา นั้น อย่าได้แต่อ่าน ศึกษา แต่จงศรัทธา และ รอคอย หากท่านยังไม่เห็นผลกรรม กับคนที่ทำกับเราไว้ กับตา แสดงว่า ยังเร็วไปครับ (ไม่ได้ให้อาฆาตนะครับ ไม่ต้องนับวันรอด้วย แบบนี้กลายเป็นบาปไปอีกนะครับ ระวัง) เมื่อไรได้เห็นผลตอบสนองที่ กรรม ทำหน้าที่ของเขา คุณจะมีศรัทธา ที่ทวีคูณครับว่า คำสอน พระพุทธเจ้า นั้นเป็นของแท้ แน่นอน

        หรือหากไม่อยากรอนานนัก ก็จง ศรัทธา อย่างมีปัญญา มองเห็นสภาพธรรม รอบๆตัว เห็นการเกิดดับของ กฎแห่งกรรม ที่ผ่านมาในชีวิตเรา แล้วจงศรัทธา ให้จริง คุณก็จะมี เกราะคุ้มกันภัย จาก ภัยร้ายทั้งโดยไม่ตั้งใจ หรือ ภัยจากความตั้งใจ ของใครก็ตาม เป็นเกราะที่ล้ำเลิศ เกราะนี้คือ พลังศรัทธา นั่นเอง

         ศรัทธา นี้ดีอย่างไร

    1.ศรัทธาทำให้เห็นชัดในเรื่อง ธรรมะ ทุกข้อของพระพุทธเจ้า เกิดปิติ มั่นใจ และ อบอุ่นใจ กลายเป็น
       คนอยู่กับร่องกับรอย เพราะมีหลักยึด ที่ล้ำเลิศ คือ พระธรรมของพระพุทธเจ้า
    2.ศรัทธา เรื่องกฎแห่งกรรม จะลด ความพยาบาท อาฆาต การคิดแก้แค้น เอาคืน อารมณ์ โกรธ ลงได้
   เกือบ 100% เพียงแต่คุณเชื่อใน กฎแห่งกรรม นี่ก็ดีถมถืดแล้วสำหรับ ปุภุชน ที่ยังไม่มีเวลาปฏิับัติธรรมหลากหัวข้อ และลงลึก
    3.ศรัทธา ทำให้เห็นสภาพธรรม วันหนึ่งนอกจากจะเห็นผลของกรรม ทั้งดีชั่วจาก สิ่งแวดล้อมรอบข้าง คุณก็จะเห็นจาก เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณ กันอย่างชัดๆ แรงๆ ซึ่งผมบอกเลยว่า มันมีจริงๆ ครับ
    4.ศรัทธา ทำให้รู้ทันธรรมชาติว่า คนเรานี้ ถูกหลอกล่อให้ หลงใน 3 ทิศทาง คือ
 
             -โลภ
             -โกรธ
             -หลง
    รวมเรียกว่า อุปกิเลส

    ซึ่งมีในตัวเราทุกคน แต่ปัญหาคือ เราแก่ขึ้นทุกวัน ผมขอเตือนว่า ก่อนอายุราวๆ 40 ปี ควรหันหน้าไปทางสร้างความดี มากกว่า ย่ำอยู่กับ ความไม่ดี ความผิด ที่เราเองก็รู้ เพราะว่า จากประสบการณืของผม ผมเห็นมากับตา คือ

          1.จะเปลี่ยนยากขึ้น แต่หาก จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
          2. กรรมที่ไม่ดี จะปรากฎในระยะ 40 ปี เป็นต้นไป ค่อนข้างเร็ว และ มาก (มีข้อสังเ้กตุ ส่วนตัวว่า อาจจะมีผลมาจาก กรรมดีในอดีตถูกใช้ไปเยอะแล้ว กว่า 40 ปี กรรมดีปัจจุบันทำไว้น้อยไปหน่อย และ กรรมชั่วในชาตินี้กลับทำไว้เยอะั แบบนี้เป็นต้น อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ)

     สำหรับผม ก่อนอายุ 40 ปี เราควรได้นั่งวิเคราะห์ตัวเองให้เสร็จครับ สักหลายๆ รอบ มีกรรมแรงๆ อะไรบ้าง ที่ควรงดเด็ดขาด หลัง อายุ 40 ปี แต่ ก็เมื่อเราลงได้ นั่งทบทวนแล้วก็เริ่มมันเลยสิครับ จะรอ 40 ทำไม จริงไหม?

      5.ศรัทธา จะนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเรา ขอให้มีสติรับรู้ และ พอกพูน สิ่งดีๆ ให้มากขึ้น ขณะที่ ต้องรักษาสิ่งดีๆ เหล่านั้นไว้ให้ได้ มีการจัดระเบียบความคิด และอย่าทำแบบ ได้หน้าลืมหลัง ทำไปทำมา เหลือ ศูนย์ อีกแล้วแบบนี้ เสียดายโอกาสที่เราได้เป็น มนุษย์ในชาตินี้นะครับ


   โดยสรุปแล้ว ก็ขอให้ เผชิญกรรมที่ไม่ดี ด้วยความมีศรัทธาในกฎแห่งกรรมครับ และดูแลตัวเองให้ดีให้คิดว่า ต้องไม่ยอมแพ้ที่จะสร้างสิ่งดีงามให้มากๆเข้าไว้ ในภพภูมิของการได้เป็น มนุษย์ ในชาตินี้ของเราครับผม

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Wednesday, November 13, 2013

มีศีล มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

สวัสดีครับ

    คุณเคยมองท้องฟ้า ครั้งสุดท้าย ตอนไหน?
    คุณเคยยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ล่าสุดเมื่อใด
    คุณเคยหยุดนิ่ง แล้ว คิดทบทวน สิ่งที่ควรปรับแก้ มานานแล้ว เมื่อใด?
    คุณ เริ่มแปลกใจแล้วใช่ไหม ว่า คุณคือคน ที่เปลี่ยนไม่ได้?


  สิ่งทั้งหลาย มีสตินำ อย่าถามผมว่า ทำอย่างไร เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านได้ ทรงสอนไว้หมดแล้ว
ผมเพียงแต่เอามาเล่า เท่านั้นเอง

  เคยได้ยิน สิ่งนี้ไหมครับ

     ศีล สมาธิ ปัญญา

เชื่อไหม ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ที่ผมนำมาเป็นตัวอย่างนั้น แก้ได้ด้วย ศีล สมาธิ และ ปัญญา ทั้งสิ้น ผมขอวิเคราะห์ดังนี้

   1.ถ้าเรามีศีล แปลว่า เราเป็นคนเต็มคน เพราะ คนจริงๆ ต้องมี ครบ 5 ข้อคือ
         
           1.ไม่เบียดเบียนสัตว์
           2.ไม่ลักทรัพย์
           3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
           4.ไม่พูดเท็จ
           5.ไม่เสพของมีนเมา

       นอกจากเป็น คนเต็มคน แล้ว เรายังเป็น คนมีวินัยอีกด้วย เพราะการจะคงสภาพศีลทั้ง 5 ข้อไว้ได้ เป็นเรื่องที่ ท้าทาย มากๆ แต่หากเราต้องการเราก็ทำได้ ครับ พระและเณร ยังถือศีลมากกว่าเราอีกครับ

     การมีศีลดีอย่างไร การมีศีลดีเพราะว่า จะทำให้เรา มีความพร้อมในการปฏิบัติ คุณธรรมที่สูงขึ้นได้ นั่นคือ การปฏิบัติบูชา อีกแบบหนึ่ง คือ การทำสมาธิ

      ทำไมคนมีศีลจึง ทำให้เอื้ออำนวยต่อการ ปฏิบัติสมาธิ ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า เราจะมีชีวิตแบบปกติสุขมากกว่า คนไม่มีศีลครับ ทำไม?

       ลองตามผมมาครับ

    เมื่อเราไม่ เบียดเบียนสัตว์ เราก็ห่างจากการต้องชดใช้ กรรมที่ทำไว้ ในข้อนี้ ไปไกลๆ เช่น วัยรุ่น ชอบกดขี่ ข่มเหง ตีรัน ฟันแทง ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต เบียดเบียน สัตว์ และ คนด้วยกัน พอเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้มันจะ ต้องตามมาทวงสิทธิ แน่นอน มีข้อยกเว้นไหม ผมว่ามีนะ แต่ อย่าเสี่ยงเลยครับ หากบุญเก่าทำมาไม่ถึงจริงๆ กรรมมันตามในชาตินี้ล่ะ ที่ นิยมเรียก กันว่า กรรมติดจรวด ครับ

     พอถึงเวลาจะทำสมาธิ ก็มีเหตุ ต้องทะเลาะคนนั้น มีเรื่องมีราว เจ็บนั่น เป็นนี่ หรือ มีจิตใจ ที่กำเริบอาฆาต พยาบาท เพราะ ตัวเอง ใช้หลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มาตลอดชีวิต จึงไม่มีที่ลง หาทางออกให้กับ จิตใจ ตัวเองไม่ได้ เป็นต้น

      นี่เพียงเรื่อง ศีลข้อแรกนะครับ ผมว่าำำไปตามที่้้เรียนมาเล็กๆ น้อยๆ ครับ ผู้ที่ชี้ชัดเรื่อง กฎแห่งกรรมได้ชัด ลึก ที่สุดคือ พระพุทธเจ้า ครับ

      หากทำตรงข้ามล่ะ ศีลข้อแรก เราอยากจะลอง ทำให้ได้ จะทำอย่างไร

   อันดับแรกครับ เชื่อผมไหม    จงกล่าววาจาออกมาครับ ว่า

     คู่เวร คู่กรรม ที่ได้เบียดเบียน จองเวร จองกรรม กันมา ทุกภพ ทุกชาติ บัดนี้ "ข้าพเจ้า ขอให้อภัย" ทุกสิ่งอย่าง และ ไม่ขอ จองเวร จองกรรม กันอีกต่อไป

     เอาข้อนี้กันเลย   ท่านทำได้ไหม

   หลายคนบอก เฮ้ย มันง่ายไปไหม อะไร มัน ไอ้ อี มันทำกับเราขนาดนั้น ตอนนั้น ชั่วโมงนั้น นาทีนั้น วินาทีนั้น บางคนจำละเอียดเลย  จะให้อภัยมันได้อย่างไร ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ โอเคครับ ท่านคิดได้ หากเขาเคยเบียดเบียนท่านไว้ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติ เหมือนท่านล่อหลอกเรา ทำไม

     คนทำเรา ทำบาปกับเรา เขาทำเสร็จ ก็ไป แน่ล่ะ มันต้อง จองเวร ชดใช้กัน แค่ทำแล้ว เขาก็หายจ้อย ลืมไปแล้ว ส่วนเราตั้งแต่วินาที ที่เขาทำกับเรา ผ่านมา 10 ปี เราอาฆาต ทุกวัน ตลอดมา คำถาม ตกลงใครกันแน่ที่ซวย???

      พระท่านยังสอนว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และมีจิตใจที่ผ่องใสขาวรอบ เข้าใจไหมครับ

   ครานี้กลับมาเรื่อง เขาทำกับเรา ให้อภัยง่าย ๆ ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ มีอะไรบ้าง

       -ยุติธรรม เชิง กฎหมาย   ก็ว่ากันไปครับ มีศาล มีทนาย มาจัดการให้เรา ทำไปครับ ตามกฎหมาย
         บ้านเมือง ไม่ใช่ ใครมาทำอะไรเรา ก็ช่างเขาๆ ให้อภัยดะ ไม่ใช่ครับ ตามกฎหมายก็ต้องว่ากันไป
         แต่ ยึดไว้ในใจว่า เป็นการ สั่งสอน และ คงคุณค่าทาง คุณธรรมไว้ในสังคม ครับ

      -ยุติธรรม เชิง มึงกับกู    อันนี้เป็นเรื่อง เรากับเขา คือ ที่เป็นเรื่องเป็นราว น้ำผึ้งหยดเดียวเพราะ กูจะ
       เอาคืน แล้วมึงก็เอากูคืน  หรือ ทีมึงกูไม่ว่า ทีข้ามึงอย่าโวย  นั่นเอง อันนี้ ล่ะ ที่ น่ากลัว ที่เราอ่าน
       บทความนี้ ก็เพื่อขอให้ละในข้อนี้  คือ หากไม่ใช่เรื่อง คอขาด บาดตาย ขอให้  "ให้อภัย" ครับ

      -ยุติธรรม เชิง กฎแห่งกรรม นี่คือ ตัวที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดใน บทความนี้ ยุติธรรม ในทุกแง่มุม นั่น
       เพราะว่า กฎแห่งกรรม นั้น ไม่มีข้อยกเว้น ลบล้างไม่ได้ ทุกครั้งที่่เราทำบุญ กุศล เราจะได้ผลบุญ
       แน่นอน ไม่มี เทวดา มาร พรหม ที่ไหน จะมาแย่ง ความดีงามไปจากคุณได้ ขณะเดียวกัน หากคุณ
       ทำชั่ว ก็อย่าหวังว่า จะมีใครมาช่วยคุณได้ หากคิดง่ายๆ นะครับ

                     -พวกฉุกคิดได้ ก็เลิกเถอะครับ 1 วันผ่านไป ชีวิตสั้นลง หากพรุ่งนี้ หมดเวลาของเรา จะมี
                       เวลาไหนมาสร้างความดี สั่งสม อย่ากินของเก่าครับ รีบ ลด ละ เลิก แล้วรีบ ทำบุญกุศล
                       ครับ กรุณาปรึกษา พระสงฆ์ องค์เจ้า ครับ ด่วนเลย

                     -คนที่ทำกุศลมานาน แต่ทำแล้วไม่ได้ดี  ก็คิดใหม่ครับ ก็ของเดิม ยังใช้เขาไม่หมด จะหา
                       ทางลัดง่ายๆ ได้เหรอ อย่าโทษ ธรรมะ โทษตัวเองครับ ให้สั่งสมบารมี ทำกุศลไว้มากๆ
                       เมื่อไรเป็นเวลาของคุณ กุศลจะกระหน่ำเข้าหาคุณเอง จำไว้ครับ

                     -คนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง ก็ยังดี ผมอยู่ในประเภทนี้ ผมยังดีใจครับว่า หวนคิดกลับไป ผมมี
                       เรื่องดีๆ ไว้ให้ภูมิใจเหมือนกัน แต่ยังไม่เรียกตัวเองว่า คนมีศรัทธา เพราะยังไม่ทำจริง
                       จากนี้ไปก็ต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วครับ

                     -คนที่ทำมาดีมากแล้ว ท่านเหล่านี้ ไม่โอ้อวด เงียบๆ นะผมว่า ทำมาเป็นสิบๆ ปี ทุกข์ มี
                       สุขมี ถือว่า เป็น อมรมนุษย์ คือ มนุษย์ ดั่งเทพ มีสติ สัมปชัญญะพร้อม มีความสุข
                       เขาเหล่านี้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บางท่านมีบุญมาก่อน บางท่านมีปัญญาเห็นธรรม
                       บางท่านฝึกตนมาตลอด เอาเป็นว่า ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้

    เมื่อเป็นดังนี้ ความยุติธรรม ข้อ กฎแห่งกรรม นี่ล่ะ ที่จะตาม ราวี คนที่ทำชั่ว กับเรา ไม่ว่า เล็กน้อย ตั้งใจหรือ ไม่ตั้งใจ กรรม จะตามท่านเขาเหล่านั้นเอง หลักการในการ วางตัวของเราก็คือ
               
            *จงสำรวมกายของเรา เช่น อย่าเผลอสติ ไปประทุษร้ายเขา
            *จงสำรวมวาจาของเรา เพราะ ปากนี่ล่ะครับ ตัวดี เพราะของเสียออกจากปากง่ายสุด
            *จงสำรวมใจ  ยิ่งเราคิดแช่งชัก หักกระดูก "มัน" เราก็จะมีใจต่ำลงเรื่อยๆ ขุ่นมัวมากขึ้น
               อย่างที่บอก "มัน" ทำเรา "มัน" ลืมไปแล้ว แต่เรา เปลี่ยน เป็น จอมมาร เพราะ "มัน" เอาหรือ?
               สู้คิดแบบนี้ดีกว่าไหมว่า

                               "ช่างไม่รู้กฎแห่งกรรมเสียเลย วันหนึ่งทำอะไรไว้ ต้องชดใช้แบบนั้นล่ะ"

                 คิดแล้วก็รีบถอนใจออกมา คืออาจต้องระบายแบบนี้บ้างครับ เพื่อทบทวนแนวคิด ความเชื่อของเรา จากนั้นอย่าไปย้ำคิด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็น หลง ไปอีก

   ผมคงไม่ขอพูดถึงศีลอีก 4 ข้อ เำพราะก็จะมาในแนวเดียวกันคือ ต้องเตรียมตัว ละชั่วให้มากที่สุด จากนั้น ทำให้ตัวพ้นออกมาจาก กาวเหนียว นั้น ด้วยการให้อภัย เพราะท้ายที่สุด ครึ่งหนึ่งของกาว คือตัวเราเอง จึงไม่แปลกที่คนมากอยู่ บอกว่า ทำดีตั้งมาก ทำไมยังไม่ดี ก็ใจคุณ ยังเต็มไปด้วยความ อาฆาต พยาบาท คุณไม่เชือกฎแห่งกรรม คุณมองแต่ด้านดี ของกรรมคือ คนนั้นได้อันนี้ อย่างนี้ เราทำดีไม่ได้
แต่คุณลืมมอง ด้านไม่ดีคือ  กรรมอีกนั่นล่ะ ที่ทำให้ ได้ของดี หรือ ไม่ได้ของดี ใครจะไปรู้ชาติที่แล้วเราทำอะไรไม่ดีมา จริงไหมครับ แล้ว ชาติก่อนเขาทำดีมา จำไม่ให้เขารับอะไรเลย เป็นได้หรือ จริงไหม

    อย่ามัวไปเสียเวลา ถามกลับไปว่า เราทำอะไรมา ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เป็นกุศลกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวรอบของเราก็มาถึงเองครับ

     เอาล่ะ หากผ่านด่านเรื่องศีลมาได้เรียกว่า มีสติ มันจะทำให้เรา มีชีวิตที่นิ่งขึ้น พอมันนิ่ง เราก็จะมีเวลาทำสมาธิ ซึ่งควรกระทำอย่างยิ่ง พระท่านว่า การทำสมาิธิ เป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านยกย่อง หน้าที่เรา คือ ทำสมาธิ แล้วคุณจะพบเองว่า มันดีกับตัวคุณ และ สังคมเป็นอย่างมาก


     เมื่อมี ศีล สมาธิ ก็จะมีปัญญาเิกิดตามมา อันนี้ ให้ศึกษาจากพระท่านครับ ผมมิกล้าอาจเอื้อม เพียงแต่ให้เป็นพื้นฐานไว้ว่า

      สมาธิ อาจแยกเป็น 2 แบบใหญ่

    1.วิปัสนากรรมฐาน พิจารณา ขันธ์ 5 คือ รูปและนาม   (จะเกิดในโลกนี้โดยพระพุทธเจ้าเท่านั้น)
    2. สมถภาวนา พิจารณา กำหนดจิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

  ดังนั้นที่ว่ากันว่า สมาธิเป็นของกลางของโลก มีมาก่อน พระพุทธศาสนา นั้น คือ ข้อ 2. เท่านั้นนะครับ
ข้อ 1. ต้องจาก พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งโดยหลักของความเป็นอรหันต์ การค้นพบพระนิพพาน และโดยหลักการเข้าถึงสมาธินั้น ข้อ 1. ไม่ซ้ำแบบใครในโลก จริงๆ

  อีกนิด: ผมยังเป็นคนมีกิเลส เพียบ แต่ ผมนิยมชะล้างมันอยู่เสมอ อย่าสนว่าผมเป็นใคร สนเพียงแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า (โดยถามตัวเองว่า ในโลกนี้ ล่วงผ่าน 2,600 ปีแล้ว มีกี่คนที่ คนทั่วโลกยังเคารพกราบไหว้ จริงไหมครับ ผมว่านี่ล่ะ ปาฎิหาริย์ ) และให้ผมเป็น เพียง เพื่อนร่วมทางใน หนทางแห่งธรรมะ ที่ต้องกรุยทางกันต่อไป ของคุณก็พอแล้วครับ :0)

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

   

Friday, November 8, 2013

เขียนไว้กันลืม ธรรมะจากช่องวัดสังฆทาน เรื่อง สมาธิบริวาร กับมหาสติปัฏฐาน4

สวัสดีครับ

    ผมได้เปิดทีวีดาวเทียมแล้วก็พบช่องธรรมะ จากวัดสังฆทาน มีหลวงพ่อท่านหนึ่ง ท่านเทศน์ได้น่าฟัง
เรื่อง การทำสมาธิ ที่ได้ผลแต่ตอนทำ พอออกมาแล้ว ก็มีคนมาทวง เหมือนเราเดินไปในป่า โดน
สิงห์สาราสัตว์ ตามมากัด ส่วนนั้นส่วนนี้ ทำให้ผมได้ตาสว่าง ว่า เออจริงของท่าน

    ท่านเทศน์ต่อว่า มีพรหมองค์หนึ่ง พูดต่อหน้าเทวสภาว่า การทำสมาธิเฉยๆ เป็นสมาธิของปุถุชน ผู้ทรงศีลหรือปฏิบัติจริงจัง ต้องมี สมาธิบริวาร คืออะไร?

    ท่านกล่าวโดยสรุปว่า มันคือ บอดี้การ์ด น่ะเอง คือแม้ออกจากสมาธิมาแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติจะไม่เสียเปล่า
เพราะเหมือน ผู้นำประเทศ ที่มีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน ไม่มีอันตราย จากสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ

    สมาธิบริวาร ที่ว่า คือ  มหาสติปัฏฐาน4 นั่นเอง ความมีสติ นี่ละ คือ บริวาร ที่คอยคุ้มกัน สมาธิของเรา

 ฟังแล้ว ชื่นใจ + เข้าใจ การทำสมาธิ ได้เฉพาะตรงนั้น ออกมาจากการทำสมาธิแล้ว ก็เดี่ยวๆ เรากับสิงห์สาราสัตว์ การจะยืนหยัดอยู่ได้ ต้องมี สติ หากขาดเสียแล้ว ทำไป ก็เหมือน เครื่องยนต์ ติดๆ ดับๆ ดับๆ ติดๆ อยู่อย่างนั้น น่าเสียดายๆ ยังมีเวลากันนะครับพวกเรา ก็เมื่อ

     ทำสมาธิกันได้แล้ว ต้องเจริญสติด้วยครับ เรียกว่า มีบอดี้การ์ดชั้นหนึ่งคอยคุ้มภัยครับ

อ้ออีกประเด็นที่ท่านกล่าว: เราต้องเห็นตัวเองก่อนนะ ผมจำที่ท่านพูดต่อไม่ได้นักแต่ผมใช้วิธีนี้
               
        "ตอนนี้คุณน่ะ "ในความคิด" คุณเห็น ใบหูข้างซ้ายไหม เห็นท้ายทอยไหม อย่าทำเป็นเล่นนะครับ
       เราไม่ค่อยเห็นตัวเองด้วยซ้ำ การมีสติให้ทำตรงข้าม เห็นตัวเองให้ได้ก่อนครับ
            ...ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า เห็นหรือยัง..."


สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, October 2, 2013

เมื่อปฎิบัติสมาธิ คุณจะเห็นอะไร?

สวัสดีครับ

   คนที่ทำสมาธิ ต้องทำสักนานๆ ต่อเนื่อง สัก 2-3 เดือนขึ้นไป ทำให้ถูกทาง ยังไม่ต้องมองหา คุณวิเศษอะไรหรอกครับ แต่มีมา ก็ถือเป็นวาสนา ที่ต่างกันไปในแต่ละคน

    สิ่งที่เห็นแน่ๆ คือ   คุณ กลายเป็นคนอื่น ที่คุณตกใจ เชื่อไหม ไม่เชือ ลองปฏิบัติเอาเองครับ ทำให้ถูกวิธี มีครูอาจารย์ได้ก็ดีครับ


    ผมขอเปรียบ สิ่งดังกล่าวนี้ คือ   ศีล สมาธิ ปัญญา

   ได้คล้ายๆ กับ


                    กับข้าว - การปรุงอาหาร- ได้อาหารรสชาติอร่อย


   ศีล คือ กับข้าว
  การปรุงอาหาร คือ การทำสมาธิ
  ปรุงแล้ว ได้อาหารอร่อยเลิศ เรียกว่า ปัญญา

  มันไม่น่าแปลกที่คนในยุคนี้ กินอาหารไม่เคยอร่อย แสวงหาร้านอาหารไปเรื่อย
ทั้งโลกจริงและ โลกแห่งธรรมะ เพราะท่านทั้งหมด ไม่เคย ปรุงอาหารจริงจัง

   ท่านกินแต่อาหารดิบๆ มากันเป็นส่วนมาก..... หยุดคิด จริงไหม?

  เริ่มปรุงอาหารกันเถอะครับ จะได้รับประทานอาหารอร่อยกัน เสียที

  บางเรื่องเพียงอ่านเรียนรู้และทำจริงๆ ไม่ได้ ไม่งั้น คนที่อ่านหนังสือ คู่มือการว่ายน้ำ
ก็ว่ายน้ำเป็นกันหมดทั้งโลกสิ จริงไหม

  ทีสำคัญ อยากกินอาหารอร่อยๆ ต้องใจเย็นๆ คือ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ปรุง ครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Monday, September 9, 2013

ผ่านปัญหาด้วยการปฏิบัติบูชา ได้อานิสงส์ สูงล้ำ ปัญหาใหญ่จะเล็กจ้อย ที่เล็กจะหายหมด

สวัสดีครับ

       การปฏิบัติบูชา นั้นพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ เหตุเพราะเป็นการ ปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งทางกาย วาจา ใจ  เช่น มีการถือศีล ฝึกสมาธิ เป็นต้น คือ เราปฏิบัติเอง ทำจริง ไม่ใช่แค่ ฟังๆ เชือๆ แต่ พอจะทำเอง ไม่เอา แบบนี้ไม่ได้


       การทำสมาธิ คือการฝึกอบรมทางด้านจิตใจ ในทางพุทธศาสนา มีแยกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสนากรรมฐาน

  สมถกรรมฐาน เน้นในการยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ และมีสมาธิอยู่กับสิ่งนั้น จนได้ สมาธิระดับพื้นๆ ระดับกลาง ระดับสูง ได้ฌาณ 1 2 3 4 ตามลำดับ เรียกว่า รูปฌาณ 4 และมีอีก 4 ขั้น เป็น อรูปฌาณ 4 รวมทั้ง
อภิญญา เป็นต้น

    เคยอ่านมาพบว่า การปฏิบัติแบบ สมถะ นั้น สร้างสุขได้ แต่ในขณะที่ทำสมาธิเท่านั้น หากออกไปจากสมาธิ ก็อาจจะเสื่อมจากสุขนั้นได้ อาจเรียกว่า สุขอันเกิดจากฌาณก็ได้  มีเสื่อมได้ครับ

 วิปัสนากรรมฐาน สิ่งนี้ จะเกิดในโลกได้ ต้องมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะหากไม่มีสติปัญญา ระดับพระพุทธเจ้า จะไม่มีใครคิดสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นเมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้า ก็จะมีเหลือแค่ สมถกรรมฐานเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ ศาสนาต่างๆ มีกันมานานแล้ว แต่สำหรับวิปัสนา นั้น ต้องเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

   เพราะเน้นไปในทางการพิจารณา เกิดปัญญา เห็นความ เกิด ดับ ของ ขันธ์ 5 รูปนาม นั่นเอง ผมไม่ขออธิบาย เพราะยังไม่เคยปฏิบัติ วิปัสนากรรมฐาน ครับ ไม่เคยทำ มีหรือจะกล้่าเขียนให้อ่านกัน จะกลายเป็น ตู่พระพุทธพจน์ นรกแน่ๆ ครับ

    จะอย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธได้ระบุถึง กรรมฐาน 40 กอง ในระดับ สมถกรรมฐานเอาไว้ และจากการทำสมถภาวนา ที่มีถึง 40 อย่างทำให้ เราสามารถเลือกให้ถูกกับจริตของเราได้  สำหรับผม จะถนัด การเจริญ อาณาปานสติ เป็นพิเศษ เพราะคุณพ่อ สอนเอาไว้ ตั้งแต่ ชั้นประถม และลองนั่งก็นั่งได้จริงๆ ตอนนี้ ก็กลับมารื้อฟื้น ทำอยู่ประจำ ทุกวัน ถ้าไม่ขนาดเป็นไข้ นอนซมผมจะปฏิบัติให้ได้สัก 5 นาทีเป็นอย่างน้อย ปัจจุบัน ทำได้ราวๆ 40 นาทีต่อเนื่องครับ

     ผมเป็นคนอ้วน แต่นั่งขัดสมาธิแบบราบๆ ได้ ก็นั่งทำไปครับ ไม่ต้องขัดแบบเพชรหรอก คงไม่ไหว ทำสมาธินั้น คนเริ่มใหม่ๆ อย่าไปหวังอะไรนัก แต่ก็อย่าขนาด ตั้งใจว่าไม่เอาอะไรเลย ใจกลางๆ หลวงพ่อชา ท่านบอกว่า แรกๆ ให้ กำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องไม่กำหนดสั้น ยาว ให้รู้ลมหายใจ ทำใจให้สบาย แล้วทำไป เท่านี้ ผมเอามาทำ เออมันดี กว่าตอนก่อน ที่ตั้งใจเกินไป ของแบบนี้ ทำไปครับ ไม่มีผลเสียผลร้าย ให้เบา สบาย มีสติ มีแต่ดีครับ หากมีครูอาจารย์ บอกกรรมฐาน จะดีที่สุด

    สิ่งที่พบ หลังการปฏิบัติสมาธิทุกวัน พบว่า ปัญหาต่างๆ จะเริ่มหลีกทางให้เรา ที่หนักหนา ก็ผ่อนเบา ที่เบาอยู่แล้วก็เร้นหนีหาย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

      แนวคิดของผมคือ มันเป็นเรื่องของกุศล ที่เกิดขึ้นครับ กุศลมากไหม ผมไม่กล้าตอบ แต่ การปฏิบัติสมาธินั้น ถือเป็น การประพฤติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กุศลย่อมมีไม่น้อย เมื่อเราทำประจำ กุศลย่อมก่อเิกิด และมันย่อมนำชีวิตไปในทางที่ดีกว่า ไม่ทำแน่นอน

     เรื่องที่น่าจะเลวร้าย ยาก กลับกลายเป็น ง่าย เบาสบายเหลือเชื่่อ ทีแรกผมเหมือนจะเคยได้ยินผลของการทำสมาธิ มาจากหลายๆ ที่ เช่น เด็กบางคน ซนแก่น แต่พอมาทำสมาธิ ก็เรียนท็อปของห้อง บางคนรวยเป็นร้อยล้านตั้งแต่ยังไม่ 30 ปี แต่ผมไ่ม่ค่อยจะอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่พอมาปฏิบัตเอง ผมว่าผมเริ่มรู้สึกครับ ความโลภ โกรธ หลง มันบางลงไปเยอะเลยครับ และ การจัดการทำงาน หรือ ปัญหามันราบรื่น จากที่เคยเหมือน ต้มน้ำปุดๆ แม้จะลดลงมาเป็น ไม่กี่ปุด จากอายุ ความชำนาญ แต่มันก็เหมือนอยู่กับของร้อน เสมอ มันกลายเป็น เหมือน ได้ลงไปว่ายในสระเย็นๆ น้ำใสๆ ในวันอากาศดีๆ มีเสียงนกเสียงไม้ พร้อมมีกลิ่นบุปผาหอมๆ ลอยมาแตะจมูก  งานเดิม ปัญหาเดิม แต่ปัญญาในการจัดการปัญหา มันคนละแบบกันเลยครับ

     เคล็ดลับคือ ปฏิบัติสมาธิแล้ว ใจมันจะสว่าง เกิดปัญญา คิดเรื่องการทำงานอะไรขึนมาได้ ให้รีบนำไปจัดทำ นัดหมาย เสียเดี๋ยวนั้น คือสมาธิมันจะมา ขจัดความมืดบอดทางปัญญาไปให้เรา เราก็อย่าไปหลงในสมาธิแต่ให้เอาผล จากความคิดดีๆ ลำดับการทำงาน ที่ได้มา ไปเร่งทำ ผลสุดท้าย พอจะถึงกำหนดงาน จะเห็นว่า สิ่งที่เราเริ่มไว้จากผลของสมาธิมันจะมาบรรจบเสร็จในที พอดีกันทั้งหมด อย่างน่าประหลาดใจ แม้จะมีจุดอ่อน จุดขาด บกพร่อง บ้าง มันก็จะมีตัวชดเชยให้ได้อย่างลงตัว ขอให้ทำเสียแต่เนิ่นๆ เถิด นี่คือ สิ่งน่าประหลาดใจ

     ที่สำคัญ คนที่ทำสมาธิ คนอื่นจะสัมผัสได้ ลึกๆ เขาจะรู้ว่า เราเป็นคนที่ปฏิบัติ เขาจะชื่นชม เกรงอกเกรงใจเรามากขึ้น เพราะตัวเราเองนั้น เมื่อใจภายในสงบ สุข มีสันติ ผ่องแผ้ว มันจะแสดงออกมาทางการกระทำ คำพูด และ แววตา ครับ

     หากใครยังสงสัย ต้องลองทำครับ มันจะยากอะไร เช้าๆ นั่งสมาธิสัก 20-30 นาที เย็นก่อนนอนอีก 30 นาที ทำไปเรื่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย ครับ หันมาเป็นมหาเศรษฐีทางธรรมะ โดยเริ่มเก็บสะสม บุญบารมี จากการปฏิบัติบูชา เสียแต่วันนี้ครับผม ทุกคนทำได้ครับ

      แต่การทำสมาธิต้อง ละนิวรณ์ 5 ให้ไ้ด้ด้วย ใครสนใจจะเริ่ม ก็ลอง ค้นหน่อยครับ นิวรณ์ 5 คืออะไร

สวัสดี
คุณบอลล์ :0)
   

Monday, August 12, 2013

จากบทความก่อน บอกไว้ว่าจะเอาหนังสือสวดมนต์ เล่มเก่าของผมมาให้ชมกัน เชิญชมครับ

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรมะ ทุกท่าน

 หนังสือสวดมนต์เล่มเก่าของผมครับ



ขอทุกท่าน สำเร็จในธรรม
สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Saturday, August 10, 2013

ยุคที่คนไทยเิริ่มมี Hobby หรือ งานอดิเรก กันเต็มบ้านเต็มเมือง มีใครมองการปฏิบัติธรรม เป็น Hobby บ้าง?

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรม ทุกท่าน

  วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

  เช้าวันนี้หลังจากออกกำลังกายโดยการ แกว่งแขน ราวๆ 500 ครั้ง ก็แทบลมจับเพราะ ร้างจากการออกกำลังกายนานจริงๆ และ เพิ่งหายไข้มาได้ระยะหนึ่ง ที่กลับมาออกกำลังกายตั้งใจว่า เขาสุขภาพ เอาปราณ เอาการไหลเวียนเลือดที่ดี มากกว่า จะหวังเรื่องลดน้ำหนัก ก็คิดว่าทำได้ต่อเนือง เพราะไร้ความกดดันและยังดีต่อตัวเราในทุกด้านครับ

   หลังจากออกกำลังกาย ผมเดินมาซื้ออาหารเช้า ที่ 7-11 เดินเข้าไปเห็นพนักงานร้องถามกันว่า พี่ๆ ปีนี้ ปี 56 ใช่ไหม? ฮ่ะๆๆ ผมตกใจมาก ข้อนี้ทำให้ฉุกคิดว่า คนเราหาเหมือนกันไม่ เรารู้ในสิ่งที่เรายังใส่ใจ เท่านั้น ไม่มีเวทนารับรู้ จะรู้ได้อย่างไร น่าน เข้าข้อธรรม แต่เช้า คือ เขาอาจไม่เห็น ไม่ฟัง ไม่คิดใส่ใจ กับเรื่อง ปี พ.ศ. เขาจึงไ่ม่รู้เรื่องว่า ปีนี้ 55 หรือ 56 ชัดไหมครับ

    ผมก็ส่งเสียงบอกว่า ปี 56 น้อง น้องคนนั้น อายม้วนต้วน ไปเลย

   ซื้ออาหาร น้ำ นม เสร็จก็เดินกลับที่พัก ชื่นชมเมื่อคิดว่า ชาวบ้าน ร้านตลาด ตื่นมาเปิดร้านกันแต่เช้า เพียงแต่เราไม่ค่อยได้สังเกตุ พอสังเกตุ ก็พบว่า พวกนี้ทำให้เราสบาย มีร้านข้าวมันไก่ มีร้านกาแฟ ไว้ให้ซื้อแต่เช้า หากไปอยู่กลางทะเลทราย จะมีไหมเนี่ย?

    ปูชนียบุคคล ที่บรรยายสิ่งต่างๆได้ละเอียด อย่างเช่น ความดีงามในการ ดูแลกล้วยไม้ ต้องท่าน ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ครับ สำหรับผมการบรรยาย ชีวิตรอบข้าง คงจะทำได้ห่างชั้นจากท่านมาก ต้องสั่งสมเวลาอีกนานครับ :0)

   พอมาถึงห้อง ก็คุยโทรศัพท์กับหวานใจ พักหนึ่งแล้วก็พักผ่อน ทานข้าวเช้า แล้วก็มานั่งดูรายการ ฝึกสุนัข ช่อง True ได้พบว่า ฝรั่งมันเก่งใช่เล่น หมาน้อยดื้อๆ ยังสามารถฝึกได้ สุดยอดครับ

    วันนี้ เอาแนวคิด มาแบ่งปันกันครับ ประเด็นก็คือ ตอนนี้ เราจะพบว่า ตั้งแต่มี กระดานสนทนา มีเว็บชุมชน อย่าง pantip หรือที่อื่นๆ มาตลอด เกือบ 20 ปีนี้ เราจะเริ่มมีกลุ่มเชี่ยวชาญพิเศษเกิดขึ้นมากมาย และในไทยเรา จะหนักไปทาง การเมือง หรือ อีกแบบก็งานอดิเรก หรือ Hobby นั่นเอง

    งานอดิเรก มีมากมายเช่ย กอล์ฟ, ปั่นจักรยาน, กลุ่มคนรักรถ, รักต้นไม้, คอมพิวเตอร์ และ อื่นๆ อีกเป็นร้อยเป็นพันอย่าง คนสมัยนี้เหมือนจะมีงานอดิเรก อย่างน้อย 1 อย่าง เพราะ เน็ต มันช่วยให้ทุกอย่าง ง่ายขึ้น อยากรู้อะไร ก็เข้่าเน็ตค้นข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ และ ยังนัดหมาย จัดพบปะกันได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นยุคทองของ Hobby หรือ งานอดิเรก จริงๆ

   ความสงสัยของผมก็คือ ทำไมเราไม่ทำให้ การใส่ใจในธรรมะ เป็นงานอดิเรก ล่ะ เมื่อการปั่นจักรยาน ทำให้คนที่ทำ งาน อดิเรก แบบนี้ มีขาที่แข็งแรง ได้ไปเห็นทัศนียภาพใหม่ๆ พบเพื่อนใหม่ๆ แล้วการถือธรรมะ เป็นงานอดิเรกล่ะ มันจะทำให้เราเป็นคนอย่างไร?

   คนที่ปฏิับัติธรรม ก็จะได้ความร่มเย็นกับตัว ทีแน่ๆ มันดีกว่าไม่ทำ ทุกประตู เคยได้ยินไหม หลายคนชีวิตเปลี่ยน และเปลี่ยนมาจากภายใน  มีสีหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย มีสุขภาพจิตและกายดีขึ้นมาก และสำหรับคนที่ปฏิบัติมากๆ อย่าง ผู้ทรงศีล หรือพระ เช่น พระในพระพุทธศาสนา การมีอายุ 85-90 ขึ้นเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้ เห็นเป็นประจักษ์กันอยู่

    ทีนี้เนื้อหา ข่าวคราวของการ ยึดการปฏิบัติธรรม เป็น Hobby นี่ มันยังมีน้อยกันอยู่ หน้าที่ผมคือ การเปิดประเด็น แนวคิดว่า ทำอย่างไร ให้คนสมัยนี้ สมัยไหนก็ตาม หันมามองว่า การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่ควรจับไว้ให้แน่น ให้เป็นงานอดิเรกรูปแบบหนึ่ง งานอดิเรกอื่นๆ เป็นเพียงการ สนอง กิเลสของเรา และในหลายส่วน ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น

   -งานอดิเรก คือ คอมพิวเตอร์ คุณต้องมี การซื้อสัญญาณเน็ต ซื้อคอมพิวเตอร์ คอยอัฟเกรด และอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย

   -งานอดิเรก คือ การเล่นกล้อง มีตากล้องคนไหน ที่เอาจริงแล้วไม่อยากได้เลนส์ตัวใหม่ๆ บ้าง ราคากล้องล่ะ เท่าไร

   -งานอดิเรก คือ การท่องเที่ยว ผมถามว่า ไปเที่ยวแต่ละที ค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ ???

   -งานอดิเรก คือ อะไรต่อมิอะไร ล้วนใช้เงินมากๆ กันทั้งนั้น

 แต่ หากยึดการปฏิบัติธรรม เป็นงานอดิเรกของเรา อุปกรณ์พื้นฐาน มีตามตัวอย่างนี้ ก็เหลือเฟือแล้วครับ
ดังนี้

  1. หนังสือสวดมนต์ ทำวัตรเช้าและเย็น แบบสวดมนต์มีบทแปล
  2. แก้วน้ำ  2 ใบ ใช้กรวดน้ำหลังจากสวดมนต์และ/หรือ นั่งสมาธิ
  3. ที่ว่างสำหรับนั่งสมาธิ ปกติจะฟรี เพราะพื้นที่ที่ ลมพัดสบาย
      อากาศโล่งหน่อยก็ใช้ได้แล้วครับ

   ทั้ง 3 รายการ ผมว่า มีค่าใช้จ่ายจริงๆ คงเพียงแต่หนังสือสวดมนต์นั่นล่ะ

  ที่ผมทำอยู่ ไม่เน้น จุดธูป-เทียน เพราะคิดเองนะครับว่า คนยุคใหม่จำนวนมาก อยู่คอนโด และเื้นื้อที่จำักัด อาจจะรีบแล้วลืมดับธูปเทียน มันจะเกิดปัญหาได้ครับ วันนี้เอารูปแก้วน้ำสำหรับกรวดน้ำ มาให้ชมครับ ง่ายๆ ครับ เดี๋ยวบ่ายๆ จะลงรูป หนังสือสวดมนต์ เล่มขลังที่ใช้มานานน่าจะเกิน 10 ปีแล้วมาให้ชมกัน ครับ



          แก้วใบหนึ่งใช้สำหรับ รับน้ำ เรียกว่า แก้วรับ  อีกใบหนึ่งใช้รินน้ำกรวดน้ำ เรียกว่า แก้วริน
สำหรับผมมี แก้วรับและแก้วริน ก็โอเคแล้วครับ บางอย่างอย่าไปยึดรูปแบบมากเกินไปครับ :0)

  เรามายึดการปฏิบัติธรรม เป็นงานอดิเรกที่ ทรงค่ากันดีกว่า ยิ่งทำ ยิ่งมีส่วนลด กิเลส นำเราไปยังช่องทางที่ถูกคือ ห่างจาก อบายต่างๆ สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิแล้ว ก็จงอยู่สายกลาง ให้จิตและกายค่อยๆ พัฒนาไปตาม ครรลอง อย่าไปทำตัวเป็นคนหลุดโลก พิจารณาตน และ ทำไปครับผม คุณจะรู้ได้เองว่า ทำแล้ว มันดีอย่างไร ขอให้สำเร็จในธรรม ทุกท่านครับ

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
 

 
 

Friday, August 9, 2013

เตรียมตัวให้พร้อม นำการบำเพ็ญเพียร นำหน้าไว้ก่อน ทั้งยามตื่น และ หลับ

สวัสดีครับ ท่านผู้ใส่ใจในธรรมทุกท่าน

    วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

   ในวันนี้ เราทุกคน ย่อมมีอายุมากกว่า เมื่อวาน และ มุ่งเข้าใกล้การดับสูญของชีวิต ในภพชาตินี้ เข้าไปทุกที เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้มานานแสนนาน เป็นคติที่ได้อ่าน ได้ฟังแล้ว พาให้เกิดความชุ่มชื่นใจ ในรสแห่งธรรม แต่แล้วเราก็ลืมเลือนว่า ทุกคนล้วนต้อง ตาย ไม่มีใครหนีพ้น

   เราเคยมองคนที่ร่ำรวยมหาศาลมีแต่โชคดี และคนหนุ่มสาว ย่อมมีธรรมชาิติ เป็นธรรมดาที่จะไปเป็นคนแบบนั้น เพราะผมไม่เคยอ่านพบว่า เด็กดี ตั้งใจเรียน ทำตัวดี เรียนสูงๆ ทำงานดีๆ เพื่อจะไปเป็น คนจน มีแต่เพื่อไปเป็น คนมีหน้ามีตา เป็นคนรวย กันเป็นส่วนมาก (จะไม่พูดว่าทั้งหมด เพราะมันต้องมีบุคคลที่เป็นข้อยกเว้น เช่นกลุ่มผู้มีวาสนามาก่อน หลายภพชาติ ที่มุ่งหน้าเข้าวัด ปฏิับัติธรรม หรือ เสียสละให้กับสังคม ตั้งแต่เป็นหนุ่ม เป็นสาว แบบนี้ก็มี)

   หากมองในแง่โลกธรรม ไม่ใช่เรื่องผิด แปลกประหลาด ที่คนเราจะใฝ่คว้าสิ่งที่ดีๆ ใส่เข้าไปในตัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ คนจำนวนมาก ที่ขวนขวายและดำเนินชีวิต โดยละทิ้งช่วงเวลาที่ยังมีแรงกำลัง ความคิดแจ่มใส จนลืมใช้ชีวิต ในทางที่กลางๆ สร้างความสุขใส่ตัวบ้าง แต่กลับใช้เวลามากมายไปกับการ ไปยังจุดสูงสุด จุดสบายสุดคนละ 20-40 ปี บางคนใช้เวลา มากกว่านั้น แล้วพอถึงจุด ก็เหลือเวลาชีวิตในชาตินี้ไม่มาก แล้วก็ ตายจากไปอย่างน่าเสียดาย เช่นว่า

   คนที่เรียนจบมาใหม่ ๆ อายุราวๆ 25 ปี มีฝันที่ทะยานมาก สู้ชีวิตกว่า 20ปี รู้ตัวอีกที ก็ 45 ปีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน นี่คือคนส่วนมากของสังคม คนที่ไปถึงจุดที่ฝัน มีน้อยคนมาก เพราะอะไร ไม่ยากครับ นับแค่ระดับหัวหน้างาน เล็กๆ ที่เรียกว่า ผู้จัดการ นี่ คุณคิดว่า ทั่วไทย มีกันกี่คน แล้วเมื่อเทียบกับคนที่เป็นพนักงานทั่วไป ทั่วประเทศแล้ว มีกี่คน จะพบว่า สัดส่วน ต่างกันอย่างน่าตกใจ

   บางคนทุ่มเทแล้ว ได้ดังฝัน แต่หลายคนทุ่มเทแล้วไม่ได้ดังฝัน เช่นนี้ จึงพบว่า ทุกคนมีจุดร่วมในความฝันเดียวกัน คือ ต้องดีกว่านี้ ต้องไปให้ถึงจุด ต้องๆๆๆๆ สารพัด แต่มันเป็นธรรมดาโลกเช่นกันที่ จะมีเพียงคนกลุ่มน้อย ที่ไปถึงฝัน

   การไปให้ถึงหรือไม่ถึงฝัน มีปัจจัยกำหนดหลายอย่าง หากคุณอยู่ในกลุ่มมาเฟีย ออกเงินกู้ คนที่วงการนี้ต้องการคือ นักเลงหัวไม้ กล้าทวงเงิน แต่หากคุณอยู่ในระบบธนาคาร เขาต้องการ คนที่ โอนอ่อนตาม ว่านอนสอนง่าย ซื่อสัตย์์ หรือหากคุณอยู่ในการทำงานแบบองค์กร บริษัท เขาต้องการคนที่เชื่อฟัง ขยันตามนายสั่ง ว่าง่าย

   ตำแหน่ง จึงมาจากปัจจัยภายนอก และ ตัวของคุณ ที่มีอิทธิพลเหมือนๆ กัน คุณอาจคุมตัวเองได้ แต่ คุณหรือจะคุบระบบทั้งหมดขององค์กรคุณได้

    ไม่แปลกที่คนมากมายเริ่มออกมาทำมาหากิน เป็นเจ้าของกิจการด้วยตนเอง เพราะขี้เกียจจะทน ความงี่เง่า ขององค์กรของตัวเิอง

     เอาล่ะไม่ว่าคุณจะเจอมาแบบไหน มันคือ กิเลส ที่พาเราไป และยังมีปัจจัยที่คุมได้และคุมไม่ได้ อยู่ด้วย

   คนในปัจจุบันชอบมองหา วิธีแก้ เพราะมีทัศนคติว่า เราจะได้ผ่านไปได้้้้้้้้้้้้้้้้้ แต่ผมมองว่า ลืมเรื่องอายุขัยกันหรือเปล่า พวกเราอย่างมาก จะมีอายุถึง 100 ปี กันกี่คน ผ่านไปอีก 10 ปี คุณและผมจะอายุเท่าไร การมัวสาละวน กับ การมองหาวิธี ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างเดียว มันจะเป็นทางเดียวของชีวิตอีกต่อไปหรือไม่

  ดังนั้น เราควรมีการบำเพ็ญเพียร เป็นสิ่งนำชีวิต นั่นคือ ควรที่จะสั่งสม บุญบารมีใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับสิ่งที่เรายังจะขวนขวายทางโลก คือ ให้โลกธรรม นำชีวิตให้ได้จริงๆ

   การสั่งสมบารมีในโลก สำหรับคนที่อยู่กับ โลกธรรม มีโลภ โกรธ หลง มากอยู่ ง่ายที่สุดคือ การสวดมนต์ไหว้พระ การทำสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้ ง่าย ใช้พื้นที่น้อย คนเดียวทำได้ ใช้เวลาอย่างมาก ชั่วโมงกว่าๆ ก็ทำเสร็จ หากทำได้เช้าเย็นจะดีมาก เพราะยังเป็นสิ่งที่ให้ อานิสงค์ สูงมากอีกด้วย

   ดังนั้น ยามตื่น จงอย่ารอช้า สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ  ยามจะหลับ ก็ทำแบบเดียวกัน หากตอนนี้คุณอายุ สัก 25 ปี ลองทำสัก 15 ปี จนอายุได้ 40 แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตคุณไม่เสียเปล่า และจงทำต่อไปจนสิ้นชีวิตครับ เรียกได้ว่า ไม่มีวันไหน ไม่ปฏิบัติธรรม

   และอย่าไปกลัวใคร มาแซวว่า ถือศีล ปฏิบัติธรรม แล้วยัง ทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ ช่างเขาครับ ให้คิดในใจว่า

   "ก็ผม/ดิฉัน ขนาดปฏิบัติธรรม ยังทำชีวิตเสียหาย อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วถ้าไม่ปฏิบัติธรรมแล้วไซร้ มันจะแย่ไปกว่านี้ กี่ร้อยกี่พันเท่า"

   จริงไหมครับ ภาษาพ่อขุนท่านว่า "ก็กูจะศรัทธา จะปฏิบัติธรรม ให้ได้ ไม่เลิก ใครจะทำไม" แบบนี้ครับ

   สิ่งที่เราปฏิบัติ จะพอกพูน เพิ่มเข้าๆ เป็นกุศลธรรม ที่มากขึ้น จะทำได้มากน้อย ต้องทำนะครับ และ ต้องขยันลด สิ่งเลวทรามของตน จะมากจะน้อย ก็ต้องทำ เมื่อ กุศลมากขึ้น ความเลวทรามลดลง มันก็จะได้ กุศลธรรมที่เพิ่มพูน ง่ายๆ เท่านี้

    จงเริ่มระลึกว่า ตอนนี้เราอายุเท่าไร หากจะตาย 90 ปี ตอนนี้เหลือเวลาสั่งสม บุญบารมีใหม่ๆ อีกกี่ปี แบบนี้ครับ แล้วคุณจะมีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม

    พวกที่ประมาทในชีวิต ศีล 5 ครองไว้ไม่ครบ เอากันจริงๆ จะถึง 70 ไหม งั้นเอา  70 ตั้งแล้วลองลบด้วยอายุตอนนี้ จะตกใจ เพราะชีวิตคืีอชีวิต คุณจะพบว่าปัญหาใหญ่ๆ 10 ปีมันยังแก้กันไม่ค่อยได้ หากจะยังแก้อันไปไม่สิ้นสุด พอดี กว่าชีวิตจะนิ่ง สงบ อุดมสุข ก็พอดี ตายก่อน บุญเก่าใช้หมด แล้วชาติหน้าเหลืออะไรกินครับ ระวังกันไว้ให้มากๆ

   แนวทางในการเริ่มปฏิบัติธรรม แบบ ก็เราจะทำเสียอย่าง มีดังนี้

  1. ทำวัตรเช้า-เย็น แบบสวดมนต์ แปล
  2. นั่งสมาธิ วันละ 10 นาที และ เริ่มไต่ขึ้นไปจนได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง ทำเช้าเย็นได้ยิ่งดี
  3. ถือศีล 5 อย่าให้ขาด ให้รับศีล และ ถือศีลทุกวัน
  4. จิตคิดผ่องใส มีสติ
  5.จิตคิดละ อกุศลใหม่ๆ ไม่ให้เกิด ลบล้างอกุศลเดิมให้หมดจากสันดาน
  6. จิตสร้างกุศลใหม่ รักษากุศลเก่า ให้พอกพูน
  7. จงสำรวม กาย วาจา และใจ
  8. มีความเพียรไม่ท้อถอยในการครองตน ทำแล้วหลุด พลาด ไม่เลิก เริ่มใหม่ แต่อย่าผิดซ้ำซากครับ

  จากที่ผมสังเกตุมา ข้อ 7. หากตัวใดตัวหนึ่ง หลุด มันจะพาหลุดหมด ทุกตัว ดังนั้น ต้องมีสติครับ อย่าให้มันเป็นแบบนั้น

   จงทำให้ครบ 8 ข้อ คุณจะพร้อม มีฐาน สำหรับการพัฒนาต่อยอด การปฏิบัติธรรมที่ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ด้วยตัวเอง
 
   ขอให้ทุกท่าน สำเร็จในธรรม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Sunday, August 4, 2013

สมถภาวนา หรือ วิปัสนาภาวนา ทำอันไหนดี?

สวัสดีครับ ผู้ใส่ใจในธรรม ทุกท่าน

   หลายปีก่อนขณะที่ผม เปิดโทรทัศน์ยามเช้า พบว่ามีช่องหนึ่ง กำลังออกอากาศ รายการ ของเพื่อนต่างศาสนา และพบว่า ผู้เผยแผ่ของเขาได้ตั้ง สำนักที่เปิดให้คนในศาสนานั้น มาฝึกนั่งสมาธิกัน ผมก็งงว่า เอศาสนา นี้มีการนั่งสมาธิ ด้วยหรือ พอปลายๆ รายการก็พบว่า ท่านที่ก่อตั้งมี แนวคิดว่า การนั่งสมาธิ เป็นของกลางของโลก

    อันน่าจะหมายถึงว่า การนั่งสมาธิ มันมีมานาน ผู้คนในส่วนต่างๆ ของโลก ทำกันมานาน มีหลายศาสนา เช่น พุทธ ฮินดู ได้นำมาเป็นเครื่องมือ ฝึกจิตของ นักบวช ก็จริง แต่จากการที่มีคู่โลกมานานจึงไม่ผิด ที่จะเอามาปฏิบัติกันได้ในศาสนาของตน

    ผมฟังทีแรก ก็เออ ออ หอ่หมกไปด้วย เพราะคิดว่า มันก็น่าจะดี เพียงแต่....

    ต่อมาก็มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ ทั้งสากล และในไทยว่า การนั่งสมาธิยัง ข้อดี เช่น รักษาโรค ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งผมน่ะเชื่อมานานแล้วครับ ผมสังเกตุง่ายๆ จากการที่ พระสงฆ์ไทยนั้น มีพรรษาสูงๆ กันทั้งนั้น อายุแต่ละท่าน 80-95 ปี นี่เป็นเรื่องปกติ มันย่อมเป็นผลมาจาก การทำสมาธิ รักษาศีล และ สวดมนต์นี่ล่ะ ไม่มีมีงานวิจัยฝรั่ง เราก็รู้กันอยู่แล้ว

    แต่พอเวลาผ่านไปนานๆ เราเิริ่มลืมเลือนครับว่า การนั่งสมาธิ มันมีแยก ออกเป็น กี่แบบในพระพุทธศาสนา และ ผมเริ่มจำได้เพียงว่า นั่งสมาธิน่ะดี เขาทำกันทั่วโลก สมาธิพุทธ ก็คงเหมือนๆ กับที่เขาทำกันตอนนี้นี่ล่ะ กลายเป็นแบบนั้นไป

    มีการรณรงค์ กระทั่งให้ทำสมาธิเพียงวันละ 15 นาที แบบนี้ ก็ยังดี ผมกลับคิดว่า มันน่าเสียดาย หากทำได้มาก ทำได้นานกว่านั้น ทำไมต้อง 15 นาที นี่น่าคิด

    ต่อมาด้วย ภาระการงาน และ เรื่องราวสารพัน ได้ผ่านเข้ามา ทำให้ความสนใจ ค้นคว้าในทางศาสนาของผมค่อยๆ จางไป จนเกือบจะไม่กลับมาสนใจอีก จนไม่นานมานี้ ก็ ระลึกได้ว่า ชีวิตคนเรา ปัจจุบันเพียงมีชีวิต ที่สงบพอประมาณ ก็ยากแล้ว (หากเราจะลองสังเกตุ) หากเราเป็นชาวพุทธจริงๆ เราย่อมคิดได้เองว่า ความผาสุขในชาตินี้ คือ กรรมเก่า ที่ทำมา + ทำใหม่ในชาตินี้ และ เมื่อใช้ไปมันก็ต้องหมดไปเราจำต้องทำสิ่งเป็นกุศลใหม่ๆ ใ้ห้เกิดขึ้น เพื่อเป็นทุนในชาติต่อไป หรือกระทั่งชาตินี้ ที่เรามิรู้ได้ว่า บุญบารมีที่เราเพียรสร้างไว้นั้นจะลดถอยลงเมื่อไร

     ผมจึงได้กลับมา ทำวัตรเช้า-เย็น อีกครั้งหลังหยุดทำไป 5 ปี สิ่งที่ได้เห็นผลทันตาคือ ความสดชื่นในใจครับ และอานิสงค์จากการสวดมนต์อีก พอสวดมนต์ ก็เริ่มทำสมาธิ พอนั่งสมาธิ ก็เกิดคำถาม ว่า ทำแล้วได้อะไร ศาสนาของเราระบุไว้ชัดว่า จะได้ ฌาน คือ ฌาน 1- 4 และ อรูปฌาน 4 รวมทั้ง อภิญญาอีกด้วย เรียกว่า ได้ทั้ง ฌานลาภี และ อภิญญาลาภี  แล้วยังทำให้ เมื่อตายไปจากโลกนี้ ได้ไปสู่ สภาวะ พรหม อีกด้วยหากยังไม่เสื่อมจากฌาน ที่ได้มา แสดงว่า ฌานหากไม่รักษาเสื่อมได้

    ผมเกิดความสงสัย เอ เราลืมอะไรไป แล้วการได้เป็น พระอรหันต์ล่ะ ทำอย่างไร ก็เริ่มค้นหาข้อมูล จนได้ เบาะแส ว่า การนั่งสมาธิ นั้นมี 2 แบบ คือ

   1. สมถภาวนา คือ การทำสมาธิ โดยอาศัย การภาวนา 40 กอง ต่างๆกันไป โดยเชื่อว่า หลายแบบมีมาตั้งแต่ก่อนจะมีพุทธศาสนา แม้พระพุทธเจ้า ในวัยเด็ก ท่านก็นั่งสมาธิ จนบรรลุฌาน มาแล้ว สมัยนั้นถือว่าการได้ฌาน เป็นเรื่อง ปกติ ผลดีของการทำ สมถภาวนาคือ ช่วยทำกิเลสให้ระงับ แต่ไม่ได้แปลว่า
ฆ่ากิเลสทิ้ง คือ ฌานเสื่อมเมื่อใด กิเลส ก็กลับมาอย่างแน่นอน

  2. วิปัสนาภาวนา คือ การพิจารณาขันธ์ 5 หรือ รูปนาม เอาตรงนี้ย่อๆ ว่า ในขันธ์ ทั้ง 5 นั้น เราสามารถแบ่งเป็น รูป และ นาม ได้ดังนี้

  ขันธ์ 5 ประกอบด้วย

 1.รูปขันธ์
 2.เวทนาขันธ์
 3.สัญญาขันธ์
 4.สังขารขันธ์
 5.วิญญาณขันธ์

   เมื่อสังเกตุ ดูดีๆ จะพบว่า ข้อ 1. คือ รูป และ อีก 4 ข้อ จับต้องไม่ได้ คือ นาม นั่นเอง เมื่อกล่าวว่า พิจารณา รูปนาม ก็คือ พิจารณา ขันธ์ 5 นั่นเอง

  และวิปัสนาภาวนานั้น เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว คือ ถึง อรหัตตมรรค ได้ อรหัตตผล ก็จะฆ่ากิเลสได้หมดสิ้น

   เมื่อพบข้อมูลเหล่านี้ จึงเริ่มสบายใจว่า หากจะเป็นพุทธแท้ ต้องมีการศึกษาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ครับ แม้ว่ายังไม่ได้ทำ หรือ ทำไม่ได้ ก็ยังได้ชื่อว่า ช่วยรักษาพระศาสนาครับ ผมเืชื่อว่า เป็นกุศลอย่างหนึ่ง

   และสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่า พุทธศาสนา มีของดี และของแท้ นั่นคือ การทำสมาธิแบบ วิปัสนาภาวนา นั้นมีแต่เฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น โดยเป็นหนึ่งเดียวในโลกอย่างแท้จริง ใครสนใจว่า วิชาวิปัสนา มีความลึกซึ้ง มีวิธีทำอย่างไร ต้องไปต่อยอดเอาเองนะครับ สุดยอดมากๆ

    วิปัสนาภาวนา จะไม่มีในศาสนาอื่นๆ ดังนั้น หากจะกล่าวว่า การทำสมาธิ เป็นของกลางของโลก นั่นคือ การทำ สมถภาวนา ไม่ใช่ วิปัสนานะครับ ต้องช่วยกัน จำ และ ทำให้ชัดในใจ เพื่อเป็นการรักษาพระศาสนา ไปในตัว

    ยังยกอีกข้อ ที่ พระท่านได้กล่าวว่า ไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี และ ทำจิตใจให้ผ่องใสขาวรอบ
เราก็ยืนยันกันตรงนี้ว่า 2 ข้อแรก ทุกศาสนาสอนเหมือนกัน แต่ ข้อทำจิตใจให้ผ่องใสขาวรอบ มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และ ส่วนนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างเอกอุ ก็ต้อง ปฏิบัติในแนวทางของ วิปัสนาเท่านั้นครับ

วันนี้พอเท่านี้ก่อน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)





 

Saturday, July 27, 2013

เปิดบล็อก ธรรมะ เพื่อเผยแผ่ ธรรมะอันงดงามของพระพุทธเจ้า เพียงเราใส่ใจ เราประพฤติตามได้

สวัสดีครับ

    ตัวผมเองเขียนบล็อก แบบเอาจริงเอาจังไว้หลายหลัง แต่ล้วนเป็นเรื่องทางโลก ผมชอบอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ โดยเฉพาะ หัวข้อใหม่ๆ แปลกตา แปลกใจ จะชอบดูมาก ดูแล้วก็จะคิดต่อ มีจิตนาการมากมายมาตั้งแต่เด็ก ด้วยการอ่านมาก ดูมาก รู้มาก ทำให้ พออายุมาถึงราวๆ 30 ก็เริ่มเบื่อ การบริโภคสื่อพวกนี้ เพราะ เริ่มเห็นว่า ไม่มีอะไรใหม่ ที่เป็นของแปลกอีกต่อไป

    จนเริ่มมาเป็นแฟนรายการ ซีรี่ ต่างๆ ของต่างประเทศ เพราะการสร้าง เนื้อหา มีหลากหลาย และ ลงลึกมากกว่า งานของคนไทย ก็สนุกอยู่พักหนึ่ง จากช่องดาวเทียมต่างๆ ได้ความรู้มาก แต่ไม่ได้ความสงบทางใจ นัก

    ในขณะเดียวกัน ก็ได้อ่านแนวคิดต่างๆ ของปราชญ์ตะวันออก อย่าง ท่านขงจื่อ เป็นต้น ก็สนุก กับการอ่านเนื้อหา และนำมาปฏิบัติอย่างเห็นผลในชีวิต แต่ด้วย ความเป็น อนิจจัง ได้พบว่า สำเร็จได้ ก็ ล้มเหลวได้ และพบว่า แนวคิดจะดีเพียงใด ถ้าปัจจัยภายนอก มีผลกับเราได้ นั่นไม่ใช่ เสรีภาพ ที่แท้

    จนได้มีโอกาสกลับมาอ่านหนังสือ เรียกว่า สวดมนต์ ไหว้พระจะตรงกว่า ก็พบว่า การสวดมนต์แปล จากหนังสือสวดมนต์เล่มเก่า ทำให้ ผมได้พบว่า เสรีภาพของคนเรา ย่อมต้องอยู่ที่นี่ นั่นคือ ตัวเรา นั่นเอง เมื่อใจอยู่ใน สัมมาทิฏฐิ เมื่อนั้น เราจะพบ สุข และ เสรีภาพ

   คนเราเรียนรู้มาตั้งแต่จำความได้ว่า เราต้องการสุข เราต้องการสุข เราต้องการสุข สิ่งแวดล้อม โรงเรียน สังคม ที่ทำงาน สอนเราว่า เราต้องการสุข เราต้องสร้างสิ่งที่อำนวยความสุขให้กับเรา นี่เป็นธรรมชาติ ของ ปุถุชน ผมก็ยึดตามนี้

   แต่เมื่อได้มาสวดมนต์ ผมพบข้อความ อย่างเช่น คนเรานั้น ย่อมต้องพบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจ และ การพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ สวดไปก็คิดไป เออ พุทธศาสนา เป็นศาสนา ที่ เตือนให้คน ฉุกคิดว่า อย่าหลอกตัวเอง ว่า จะได้สิ่งที่พอใจ อย่างเดียว ถูกไหมครับ?

   ผมว่า เป็นศาสนาที่ แฟร์ๆ คือ คุณเกิดมา ต้องย่อมยอมรับว่า มีทั้งเรื่องที่คุณพอใจ และ ที่คุณไม่พอใจ และ คุณจะจัดการกับมันอย่างไร พุทธศาสนาก็มีสอนไว้ เพียงแต่เรา ได้ใส่ใจ จะศึกษา พุทธศาสนาแล้วหรือยัง

    อีกข้อ เมื่อผมได้สวดมนต์ต่อไปยังบทอื่นๆ เช่น มรรค มี องค์ 8 ในข้อ ความเพียรชอบ ข้อที่ 6. ก็พบว่าชีวิตส่วนมากของผมในหลายปีมานี้ มันยังวุ่นๆ ไม่เลิก ก็เพราะผม พลาดข้อนี้ไปมาก ๆ เพราะ ข้อความเพียรชอบ นี้ ได้ระบุ โดยมีใจความโดยย่อเอาไว้ว่า

       สิ่งที่เป็นอกุศล ที่ยังไม่เกิด อย่าให้เกิด
       สิ่งที่เป็นอกุศล ที่เกิดมาแล้ว ให้ลดละเลิก
       สิ่งที่เป็น กุศล ที่ยังไม่เกิด ให้ทำให้เกิด
       สิ่งที่เป็น กุศล ที่เกิดแล้ว ให้ประคองรักษา ให้สร้างความเพิ่มพูน ให้มีมากขึ้น     เป็นต้น

   ผมไม่ต้องให้ใครมาชี้ครับ ผมอายุ 40 ผมชี้ได้เองว่า ปัญหา ความไม่ลงตัว ในชีวิต เป็น
"เรานี่ล่ะ ทำตัวเอง"

    เพียงมรรค 1 ข้อ ผมเห็นชีวิตผมทั้งชีวิต คุณคิดว่า มรรค อีก 7 ข้อ จะช่วยคุณได้อีกมากเพียงไหน?

    การสวดมนต์แปลของผม ยังทำให้ผมเห็นว่า พุทธศาสนา เป็น ศาสนาของความตรงไปตรงมา เข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแต่เราอย่าลืมแก่นแท้ ความหมาย เราจะสนุก มีสุขในการเรียนรู้ พุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เช่นว่า  เราสวดบูชาพระรัตนตรัย หรือ บทอื่น จะมีบอกไว้เสร็จว่า คนที่เราบูชานั้น ต้องมี มาตรฐานอย่างไร คือ สวดอยู่ ก็ไม่ได้กลายเป็นคนโง่ มีอวิชชา ที่จะ ไหว้ นบนอบดะ ไปหมด ไม่มีในพระพุทธศาสนานะครับ ดังตัวอย่างการสวดบูชา พระสงฆ์ ในข้อ สังฆาภิถุติ นั้น จะมีเนื้อหาดังนี้ ว่า

    ตัวเราจะบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น โดยนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า อย่างซาบซึ้ง ก็ต่อเมื่อพระสงฆ์หมู่นั้น มีคุณอันประกอบด้วย สิ่งต่างๆ ดังนี้ คือ

   1. ต้องปฏิบัติดี
   2. ต้องปฏิบัติตรง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
   3. ต้องปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์
   4. ต้องปฏิบัติอย่างสมควร เหมาะสม

   ซึ่่งหากสงฆ์ใด ทำได้ตามข้างต้น พวกท่านก็น่าจะเป็น สงฆ์ในหมู่ บุรุษ 4 คู่ คือ

   มี โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
   มี สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล
   มี อนาคามิมรรค อนาคามิผล
   มี อรหัตตมรรค อรหัตตผล

  ตัวข้าพเจ้า ผู้บูชา จึงจะบูชาอย่างยิ่งตามที่กำลังสวดมนต์อยู่นี้

  แต่ปัจจุบัน จะมีกี่คนที่สังเกตุสิ่งเหล่านี้ แม้กระทั่งคนที่สวดมนต์แปล ก็อ่านผ่านๆ มิได้ประติดประต่อเชื่อมโยง แก่นแท้ข้อนี้

   ดังนั้นพบญาติโยม ที่คิดมาก ไม่อยากไปวัด กลัวไปไหว้ดะ พระดีๆ หายากบ้างล่ะ บอกเขาว่า อ่านบทความนี้ครับ บทสวดมนต์ ได้กำกับไว้แล้วว่า เรากำลังสวด กำลังไหว้ นบน้อม เฉพาะพระที่ตรงตามมาตรฐานข้างต้นเท่านั้น ซึ่ง หากทั้งวัดเหลืออยู่ รูปเดียว ก็สุดคุ้มครับ อย่าไปคิดมาก ทำไมจึงว่าสุดคุ้ม
นั่นเำพราะ พระท่านว่าไว้ ดังนี้

   "..อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ.." อันแปลได้ว่า พระสงฆ์ ตามมาตรฐาน โดยสรุป ข้างต้นนั้น คือ เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า นั่นเองครับ

    ลองเปรียบเทียบสิครับ เราจะปลูกข้าวโพดสัก 10 ไร่ ยังไงต้องมีถางรกถางพง ได้พื้นที่พร้อมทำไร่ข้าวโพด เห็นอยู่ตรงหน้า กลับบอกว่า รอบๆ มีแต่รกแต่พง อย่าไปปลูกข้าวโพดมันเลย ขณะที่มี ที่ดินสวยๆ 10 ไร่ ตั้งอยู่ตรงหน้า แบบนี้เรียกว่า มีปัญญาหรือไม่?

   ปัจจุบัน แนวคิดคล้ายๆ นี้ ยังนำมาใช้ในระบบประกันคุณภาพ(QA) อีกด้วย ที่เราเรียกกันว่า เกณฑ์มาตรฐาน นั่นเอง หากไม่เข้าเกณฑ์ คุณจะมามั่วว่า ดี หรือ ผ่านไม่ได้นะ แบบนี้ หารู้ไม่ มีอยู่ในพุทธศาสนา มาเป็นพันๆ ปีแล้วล่ะลุง

  พบกันใหม่ครับ ไว้จะนำเกร็ดความรู้ดีๆ จากการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังกันต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

เวลาในประเทศไทย
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เวลา ประมาณ 10.58 น. (เช้า)