สวัสดีครับ
ไม่นานมานี้ ผมได้ทำความสะอาดห้องและพบ กล่องเก็บของที่วางทิ้งไว้นานแล้วของผมเอง ก็ลองเปิดดูในนั้น มีหนังสือเล่มเล็กๆ สีน้ำเงิน หน้าปก โปรยด้วยอักษรคล้ายๆ พู่กัน เขียนว่า
"ชีวิตนี้สำคัญนัก"
พอดีเห็นแล้วก็สะดุดใจมาก เพราะในระยะนี้ มีแนวคิดเรื่อง ชีวิตนี้สั้นนัก มักจะคุยกับผู้ใหญ่ที่นับถือ และ เขียนในบทความ ว่า เทียบไปแล้ว ชีวิตคนเอาอย่างมาก สุขภาพดีๆ จริงๆ นะครับ 120 ปี นี่ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ เราชาวพุทธ รู้ว่า ตายไปต้องเวียนว่ายอีกนานแสนนาน ไปดี ก็ดีไป ไปอบายนี่ เซ็งสุดๆ จริงไหม
จากนั้นเมื่อเห็น พระนาม ของผู้เขียนก็เกิดแรงศรัทธาอย่างยิ่ง เพราะเป็น งานพระนิพนธ์ของ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นพระ ที่ผมนับถือมากพระองค์หนึ่ง
เมื่อเปิดเข้าไปอ่านบทแรก ก็ปลาบปลื้มใจบอกไม่ถูก เพราะมี วลีคล้ายๆ แบบนี้ว่า (ผมขอถอดความมาเรียบเรียงใหม่ แบบเล่าจากความจำนะครับ)
"ชีวิตนี้สำคัญนัก เพราะว่า ชีวิตนี้สั้นนัก"
แบบนี้กระผมผู้กำลังมีศรัทธาในความเชื่อเรื่อง ตายแล้วเกิด หรือ วัฏสงสาร จะไม่ให้ ปลาบปลื้มได้อย่างไร ทว่า ผมได้รับแนวคิด จากหนังสือเล่มนี้ มาเติมเต็ม เตือนสติของผม ให้เชื่อว่า ชีวิตนี้สั้นนักมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อ พระองค์ ทรงเน้นเรื่อง ชาติที่ผ่านมาด้วย แนวความคิดจะเป็นแบบนี้
..เมื่อเทียบชีวิตในชาตินี้ กับชาติก่อนที่ผ่านมา จนนับไม่ถ้วน หาจุดเริ่มต้นมิได้ ...
เทียบกับชีวิตในชาตินี้ของคนเรา ชีวิตในชาตินี้ย่อมสั้นนัก...
ผมลืมคิดไปครับ นึกถึงว่า มีชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า ผมศรัทธาและเชื่อตามนี้ อย่างมั่นใจ แต่เน้นเรื่องชาตินี้ กับ ชาติหน้ามากจนเกินไป คือ คิดเพียงครึ่งเดียว พอกระผมมาได้อ่านพระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน ทำให้กระผม ได้รับการเติมเต็ม ครับ จนครบรอบของ สัมมาทิฐิ ตามที่ควรเป็น
ท่านยังทรงแจกแจงให้เห็นอีกว่า
กรรมดี ย่อมให้ผลดี เสมอ และ
กรรมชั่ว ย่อมให้ผลชั่ว เสมอ
จากนั้นทรงเน้นย้ำอีกว่า
ผลที่ดีย่อมมา จากกรรมที่ดี
ผลที่ไม่ดี ย่อมมาจากกรรมที่ไม่ดี
และ
ผลที่ดี จะมาจาก กรรมที่ไม่ดี ไม่ได้เลย
ผลที่ไม่ดี ก็จะมาจาก กรรมที่ดี ไม่ได้เลย
เท่านี้จบครับ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราต้องเชื่อตามนี้ และ แนวคิดเรื่อง ชาติในอดีตที่เราเกิดมาจนนับไม่ถ้วนนี่ล่ะ ที่มาทำให้ศรัทธาในข้อนี้ มีความเหนียวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
นั่นคือ
จากจำนวนภพชาตินับไม่ถ้วนในอดีตนั้น กรรมดี ไม่ดี ได้ส่งผลให้เราได้มาเกิดเป็น มนุษย์ และ ด้วยการมีการเวียนว่ายตายเกิดจริง และ กรรมตามมาส่งผลมีจริง นั่นคือ สิ่งที่ทำให้ คนเราต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันหมด หากกฏแห่งกรรมไม่มีจริง คนเราเกิดมาก็ต้องเหมือนกันหมดจริงไหม
การที่คนไม่ดี เจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่กฎแห่งกรรมไม่มี แต่ เพราะ กรรมฝ่ายดียังหนุนเนื่องเขาอยู่ และมีแรงกำลังมากกว่าต่างหาก แต่ ด้วยหลัก เหตุไม่ดี ย่อมให้ผลไม่ดี เขาต้องรับกรรมไม่ดีแน่นอน ไม่มียกเว้น ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า ไม่เร็วๆ นี้ ก็อีกไม่นาน ภายภาคหน้า
ท่านทรงเปรียบให้คิดกันง่ายๆ ว่า จำนวนภพชาติที่คนเราเกิด ตาย เวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ นั้น มีนับไม่ถ้วน มีความซับซ้อน มากยากต่อการจะมานั่งวิเคราะห์ คล้ายๆ กับ การเขียนหนังสือ
เริ่มแรกเราเขียนไป 1 หน้า จากนั้นเขียนทับลงใบในหน้าเดิม เขียนทับแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนดำพรืดไปหมด ท้ายที่สุดก็ไม่อาจรู้ได้ว่า กรรมใด ส่งผลมาตอนไหน อย่างไร
ผมลองนึกตาม เขียนลายเส้นเป็นตัวอักษร สมมติว่า เขียนบันทึกไดอารี ของทุกวัน ใน 1 ปี เอาแค่นี้เขียนลงในหน้าเดียวทับๆ กันไปเรื่อยๆ งงสิครับ มันคงเห็นแต่ลายเส้นทับๆ กัน อ่านไม่ออกแน่ๆ เห็นภาพทันตาเลย สาธุ สาธุ สาธุ
ท่านยังทรงนิพนธ์ไว้อีกว่า ข้อดีของกรรมคือ พอจะคิดย้อนกลับไปได้ ว่าในอดีตคนแบบนี้ๆ ทำสิ่งดีหรือไม่ดีมา โดยดูจากผลที่กำลังสำแดงอยู่ เช่น
คนนี้มีแต่ความสุข พบความสำเร็จ ชีวิตดี แบบนี้ คือ ทำกรรมดีมาจำนวนมาก หรือ มีกำลังของกรรมดีส่งผลให้เขาอยู่
ขณะที่กรรมไม่ดี ก็จะส่งผลในทางตรงกันข้าม
ท่านยังเน้นเรื่อง การให้อภัย ไม่จองเวรกัน และ การขออภัย ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอีกด้วย
ซึ่งผมเชื่อ เพราะแนวคิดนี้ จำได้ว่า ผมได้ทำไว้เมื่อราวๆ 5-6 ปีก่อน ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ครับ ยิ่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิด เห็นคนจองเวรเรา ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็น เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ก็ได้คิดว่า ชาติก่อนเราทำเขาไว้เยอะ เขาจึงมาเอาคืน (ตามกติกา ว่าเขาไม่ได้) ซึ่งหากไม่มีเวรกรรมต่อกัน อย่างไรเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้
จึงมีเวรกรรมกัน ก็อโหสิกรรมไปเสีย ชาตินี้ ชาติหน้า จะได้ไม่ต้องจองเวรกันให้เมื่อย ครับ และกรรมไม่ดีที่ไปทำกับใครไว้ ทั้งตั้งใจ (ตามกิเลส) และ ไม่ตั้งใจ (เผลอไผลไม่รู้) ก็ได้แต่ตั้งใจ อุทิศส่วนกุศล และขออโหสิกรรม อย่างจริงใจ (ท่านทรงเน้นไว้) ผลก็อยู่ที่ เจ้ากรรมนายเวร ครับ เราทำส่วนของเรา เจ้ากรรมนายเวร ก็ทำส่วนของท่าน
คิดแบบนี้ แล้วมันยุติธรรม เพราะ ทำอะไรไว้ต้องชดใช้ ขณะที่ชาตินี้ เรามีโอกาส รำลึก ขอโทษ ก็ทำสิครับ เรียกว่า เป็นชาติแห่งโอกาส กลับเนื้อกลับตัวครับ จากนั้น ก็เร่งบำเพ็ญเพียรสร้างกุศลกันมากๆ ครับ
แนวคิดที่ควรเน้นกัน ที่จดจำไว้แล้ว จะจำง่ายๆ คือ
สัมมาวายาโม หนึ่งในมรรค มีองค์ 8 นั่นคือ
หมั่น ลด ละ เลิก อกุศลกรรม ขณะที่
หมั่น สร้าง กุศลกรรมใหม่ และ รักษา กุศลกรรม เดิมไว้
แบบนี้ จำไม่ได้ ก็ไม่ไหวนะครับ ง่ายสุดๆ แล้ว จำได้ ต้องทำ ทำไป จาก วัน เป็น เดือน เป็น ปี เป็นหลายสิบปี รู้ตัวอีกที ตุนกุศลกรรมไว้จังเบอร์ ก็สบายไปสิครับ เรียกว่า สวรรค์เปิด ปิดอบายกันล่ะ
แล้วจะทำกุศลแบบไหนดี ผมในฐานะผู้พอมีความรู้มาบ้าง ขอแนะนำ กว้างๆ อย่าถือเป็นตำรานะครับ
ของแท้ ต้องผู้รู้ หรือ พระนะครับ ผมแค่ บอกแบบกว้างๆ
1.อามิสบูชา คือ ทำกุศลด้วยสิ่งของ กำลัง เป็นต้น
2. ปฏิบัตืบูชา คือ การบำเพ็ญสมาธิ มี 2 นัย คือ แบบสมถะ และ แบบวิปัสนา
ซึ่งข้อ 2 นี้พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญครับ
ก็ดีทั้งสองข้อ ลองศึกษากันดู ครับผม
สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
No comments:
Post a Comment