สวัสดีครับ
คุณเคยมองท้องฟ้า ครั้งสุดท้าย ตอนไหน?
คุณเคยยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ล่าสุดเมื่อใด
คุณเคยหยุดนิ่ง แล้ว คิดทบทวน สิ่งที่ควรปรับแก้ มานานแล้ว เมื่อใด?
คุณ เริ่มแปลกใจแล้วใช่ไหม ว่า คุณคือคน ที่เปลี่ยนไม่ได้?
สิ่งทั้งหลาย มีสตินำ อย่าถามผมว่า ทำอย่างไร เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านได้ ทรงสอนไว้หมดแล้ว
ผมเพียงแต่เอามาเล่า เท่านั้นเอง
เคยได้ยิน สิ่งนี้ไหมครับ
ศีล สมาธิ ปัญญา
เชื่อไหม ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ที่ผมนำมาเป็นตัวอย่างนั้น แก้ได้ด้วย ศีล สมาธิ และ ปัญญา ทั้งสิ้น ผมขอวิเคราะห์ดังนี้
1.ถ้าเรามีศีล แปลว่า เราเป็นคนเต็มคน เพราะ คนจริงๆ ต้องมี ครบ 5 ข้อคือ
1.ไม่เบียดเบียนสัตว์
2.ไม่ลักทรัพย์
3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
4.ไม่พูดเท็จ
5.ไม่เสพของมีนเมา
นอกจากเป็น คนเต็มคน แล้ว เรายังเป็น คนมีวินัยอีกด้วย เพราะการจะคงสภาพศีลทั้ง 5 ข้อไว้ได้ เป็นเรื่องที่ ท้าทาย มากๆ แต่หากเราต้องการเราก็ทำได้ ครับ พระและเณร ยังถือศีลมากกว่าเราอีกครับ
การมีศีลดีอย่างไร การมีศีลดีเพราะว่า จะทำให้เรา มีความพร้อมในการปฏิบัติ คุณธรรมที่สูงขึ้นได้ นั่นคือ การปฏิบัติบูชา อีกแบบหนึ่ง คือ การทำสมาธิ
ทำไมคนมีศีลจึง ทำให้เอื้ออำนวยต่อการ ปฏิบัติสมาธิ ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า เราจะมีชีวิตแบบปกติสุขมากกว่า คนไม่มีศีลครับ ทำไม?
ลองตามผมมาครับ
เมื่อเราไม่ เบียดเบียนสัตว์ เราก็ห่างจากการต้องชดใช้ กรรมที่ทำไว้ ในข้อนี้ ไปไกลๆ เช่น วัยรุ่น ชอบกดขี่ ข่มเหง ตีรัน ฟันแทง ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต เบียดเบียน สัตว์ และ คนด้วยกัน พอเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้มันจะ ต้องตามมาทวงสิทธิ แน่นอน มีข้อยกเว้นไหม ผมว่ามีนะ แต่ อย่าเสี่ยงเลยครับ หากบุญเก่าทำมาไม่ถึงจริงๆ กรรมมันตามในชาตินี้ล่ะ ที่ นิยมเรียก กันว่า กรรมติดจรวด ครับ
พอถึงเวลาจะทำสมาธิ ก็มีเหตุ ต้องทะเลาะคนนั้น มีเรื่องมีราว เจ็บนั่น เป็นนี่ หรือ มีจิตใจ ที่กำเริบอาฆาต พยาบาท เพราะ ตัวเอง ใช้หลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มาตลอดชีวิต จึงไม่มีที่ลง หาทางออกให้กับ จิตใจ ตัวเองไม่ได้ เป็นต้น
นี่เพียงเรื่อง ศีลข้อแรกนะครับ ผมว่าำำไปตามที่้้เรียนมาเล็กๆ น้อยๆ ครับ ผู้ที่ชี้ชัดเรื่อง กฎแห่งกรรมได้ชัด ลึก ที่สุดคือ พระพุทธเจ้า ครับ
หากทำตรงข้ามล่ะ ศีลข้อแรก เราอยากจะลอง ทำให้ได้ จะทำอย่างไร
อันดับแรกครับ เชื่อผมไหม จงกล่าววาจาออกมาครับ ว่า
คู่เวร คู่กรรม ที่ได้เบียดเบียน จองเวร จองกรรม กันมา ทุกภพ ทุกชาติ บัดนี้ "ข้าพเจ้า ขอให้อภัย" ทุกสิ่งอย่าง และ ไม่ขอ จองเวร จองกรรม กันอีกต่อไป
เอาข้อนี้กันเลย ท่านทำได้ไหม
หลายคนบอก เฮ้ย มันง่ายไปไหม อะไร มัน ไอ้ อี มันทำกับเราขนาดนั้น ตอนนั้น ชั่วโมงนั้น นาทีนั้น วินาทีนั้น บางคนจำละเอียดเลย จะให้อภัยมันได้อย่างไร ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ โอเคครับ ท่านคิดได้ หากเขาเคยเบียดเบียนท่านไว้ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติ เหมือนท่านล่อหลอกเรา ทำไม
คนทำเรา ทำบาปกับเรา เขาทำเสร็จ ก็ไป แน่ล่ะ มันต้อง จองเวร ชดใช้กัน แค่ทำแล้ว เขาก็หายจ้อย ลืมไปแล้ว ส่วนเราตั้งแต่วินาที ที่เขาทำกับเรา ผ่านมา 10 ปี เราอาฆาต ทุกวัน ตลอดมา คำถาม ตกลงใครกันแน่ที่ซวย???
พระท่านยังสอนว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และมีจิตใจที่ผ่องใสขาวรอบ เข้าใจไหมครับ
ครานี้กลับมาเรื่อง เขาทำกับเรา ให้อภัยง่าย ๆ ไม่ยุติธรรม ข้อนี้ มีอะไรบ้าง
-ยุติธรรม เชิง กฎหมาย ก็ว่ากันไปครับ มีศาล มีทนาย มาจัดการให้เรา ทำไปครับ ตามกฎหมาย
บ้านเมือง ไม่ใช่ ใครมาทำอะไรเรา ก็ช่างเขาๆ ให้อภัยดะ ไม่ใช่ครับ ตามกฎหมายก็ต้องว่ากันไป
แต่ ยึดไว้ในใจว่า เป็นการ สั่งสอน และ คงคุณค่าทาง คุณธรรมไว้ในสังคม ครับ
-ยุติธรรม เชิง มึงกับกู อันนี้เป็นเรื่อง เรากับเขา คือ ที่เป็นเรื่องเป็นราว น้ำผึ้งหยดเดียวเพราะ กูจะ
เอาคืน แล้วมึงก็เอากูคืน หรือ ทีมึงกูไม่ว่า ทีข้ามึงอย่าโวย นั่นเอง อันนี้ ล่ะ ที่ น่ากลัว ที่เราอ่าน
บทความนี้ ก็เพื่อขอให้ละในข้อนี้ คือ หากไม่ใช่เรื่อง คอขาด บาดตาย ขอให้ "ให้อภัย" ครับ
-ยุติธรรม เชิง กฎแห่งกรรม นี่คือ ตัวที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดใน บทความนี้ ยุติธรรม ในทุกแง่มุม นั่น
เพราะว่า กฎแห่งกรรม นั้น ไม่มีข้อยกเว้น ลบล้างไม่ได้ ทุกครั้งที่่เราทำบุญ กุศล เราจะได้ผลบุญ
แน่นอน ไม่มี เทวดา มาร พรหม ที่ไหน จะมาแย่ง ความดีงามไปจากคุณได้ ขณะเดียวกัน หากคุณ
ทำชั่ว ก็อย่าหวังว่า จะมีใครมาช่วยคุณได้ หากคิดง่ายๆ นะครับ
-พวกฉุกคิดได้ ก็เลิกเถอะครับ 1 วันผ่านไป ชีวิตสั้นลง หากพรุ่งนี้ หมดเวลาของเรา จะมี
เวลาไหนมาสร้างความดี สั่งสม อย่ากินของเก่าครับ รีบ ลด ละ เลิก แล้วรีบ ทำบุญกุศล
ครับ กรุณาปรึกษา พระสงฆ์ องค์เจ้า ครับ ด่วนเลย
-คนที่ทำกุศลมานาน แต่ทำแล้วไม่ได้ดี ก็คิดใหม่ครับ ก็ของเดิม ยังใช้เขาไม่หมด จะหา
ทางลัดง่ายๆ ได้เหรอ อย่าโทษ ธรรมะ โทษตัวเองครับ ให้สั่งสมบารมี ทำกุศลไว้มากๆ
เมื่อไรเป็นเวลาของคุณ กุศลจะกระหน่ำเข้าหาคุณเอง จำไว้ครับ
-คนที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง ก็ยังดี ผมอยู่ในประเภทนี้ ผมยังดีใจครับว่า หวนคิดกลับไป ผมมี
เรื่องดีๆ ไว้ให้ภูมิใจเหมือนกัน แต่ยังไม่เรียกตัวเองว่า คนมีศรัทธา เพราะยังไม่ทำจริง
จากนี้ไปก็ต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วครับ
-คนที่ทำมาดีมากแล้ว ท่านเหล่านี้ ไม่โอ้อวด เงียบๆ นะผมว่า ทำมาเป็นสิบๆ ปี ทุกข์ มี
สุขมี ถือว่า เป็น อมรมนุษย์ คือ มนุษย์ ดั่งเทพ มีสติ สัมปชัญญะพร้อม มีความสุข
เขาเหล่านี้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บางท่านมีบุญมาก่อน บางท่านมีปัญญาเห็นธรรม
บางท่านฝึกตนมาตลอด เอาเป็นว่า ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้
เมื่อเป็นดังนี้ ความยุติธรรม ข้อ กฎแห่งกรรม นี่ล่ะ ที่จะตาม ราวี คนที่ทำชั่ว กับเรา ไม่ว่า เล็กน้อย ตั้งใจหรือ ไม่ตั้งใจ กรรม จะตามท่านเขาเหล่านั้นเอง หลักการในการ วางตัวของเราก็คือ
*จงสำรวมกายของเรา เช่น อย่าเผลอสติ ไปประทุษร้ายเขา
*จงสำรวมวาจาของเรา เพราะ ปากนี่ล่ะครับ ตัวดี เพราะของเสียออกจากปากง่ายสุด
*จงสำรวมใจ ยิ่งเราคิดแช่งชัก หักกระดูก "มัน" เราก็จะมีใจต่ำลงเรื่อยๆ ขุ่นมัวมากขึ้น
อย่างที่บอก "มัน" ทำเรา "มัน" ลืมไปแล้ว แต่เรา เปลี่ยน เป็น จอมมาร เพราะ "มัน" เอาหรือ?
สู้คิดแบบนี้ดีกว่าไหมว่า
"ช่างไม่รู้กฎแห่งกรรมเสียเลย วันหนึ่งทำอะไรไว้ ต้องชดใช้แบบนั้นล่ะ"
คิดแล้วก็รีบถอนใจออกมา คืออาจต้องระบายแบบนี้บ้างครับ เพื่อทบทวนแนวคิด ความเชื่อของเรา จากนั้นอย่าไปย้ำคิด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็น หลง ไปอีก
ผมคงไม่ขอพูดถึงศีลอีก 4 ข้อ เำพราะก็จะมาในแนวเดียวกันคือ ต้องเตรียมตัว ละชั่วให้มากที่สุด จากนั้น ทำให้ตัวพ้นออกมาจาก กาวเหนียว นั้น ด้วยการให้อภัย เพราะท้ายที่สุด ครึ่งหนึ่งของกาว คือตัวเราเอง จึงไม่แปลกที่คนมากอยู่ บอกว่า ทำดีตั้งมาก ทำไมยังไม่ดี ก็ใจคุณ ยังเต็มไปด้วยความ อาฆาต พยาบาท คุณไม่เชือกฎแห่งกรรม คุณมองแต่ด้านดี ของกรรมคือ คนนั้นได้อันนี้ อย่างนี้ เราทำดีไม่ได้
แต่คุณลืมมอง ด้านไม่ดีคือ กรรมอีกนั่นล่ะ ที่ทำให้ ได้ของดี หรือ ไม่ได้ของดี ใครจะไปรู้ชาติที่แล้วเราทำอะไรไม่ดีมา จริงไหมครับ แล้ว ชาติก่อนเขาทำดีมา จำไม่ให้เขารับอะไรเลย เป็นได้หรือ จริงไหม
อย่ามัวไปเสียเวลา ถามกลับไปว่า เราทำอะไรมา ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เป็นกุศลกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวรอบของเราก็มาถึงเองครับ
เอาล่ะ หากผ่านด่านเรื่องศีลมาได้เรียกว่า มีสติ มันจะทำให้เรา มีชีวิตที่นิ่งขึ้น พอมันนิ่ง เราก็จะมีเวลาทำสมาธิ ซึ่งควรกระทำอย่างยิ่ง พระท่านว่า การทำสมาิธิ เป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านยกย่อง หน้าที่เรา คือ ทำสมาธิ แล้วคุณจะพบเองว่า มันดีกับตัวคุณ และ สังคมเป็นอย่างมาก
เมื่อมี ศีล สมาธิ ก็จะมีปัญญาเิกิดตามมา อันนี้ ให้ศึกษาจากพระท่านครับ ผมมิกล้าอาจเอื้อม เพียงแต่ให้เป็นพื้นฐานไว้ว่า
สมาธิ อาจแยกเป็น 2 แบบใหญ่
1.วิปัสนากรรมฐาน พิจารณา ขันธ์ 5 คือ รูปและนาม (จะเกิดในโลกนี้โดยพระพุทธเจ้าเท่านั้น)
2. สมถภาวนา พิจารณา กำหนดจิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ดังนั้นที่ว่ากันว่า สมาธิเป็นของกลางของโลก มีมาก่อน พระพุทธศาสนา นั้น คือ ข้อ 2. เท่านั้นนะครับ
ข้อ 1. ต้องจาก พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งโดยหลักของความเป็นอรหันต์ การค้นพบพระนิพพาน และโดยหลักการเข้าถึงสมาธินั้น ข้อ 1. ไม่ซ้ำแบบใครในโลก จริงๆ
อีกนิด: ผมยังเป็นคนมีกิเลส เพียบ แต่ ผมนิยมชะล้างมันอยู่เสมอ อย่าสนว่าผมเป็นใคร สนเพียงแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า (โดยถามตัวเองว่า ในโลกนี้ ล่วงผ่าน 2,600 ปีแล้ว มีกี่คนที่ คนทั่วโลกยังเคารพกราบไหว้ จริงไหมครับ ผมว่านี่ล่ะ ปาฎิหาริย์ ) และให้ผมเป็น เพียง เพื่อนร่วมทางใน หนทางแห่งธรรมะ ที่ต้องกรุยทางกันต่อไป ของคุณก็พอแล้วครับ :0)
สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
No comments:
Post a Comment