Wednesday, December 11, 2013

มารยาทดี ทำแล้ว ได้อะไร ในทางโลก และ ทางธรรม

สวัสดีครับ

     การมีมารยาท ที่ดี ขอบอกว่า สามารถฝึกได้ มีความยาก ความท้าทายไม่น้อยกว่า การที่เราไปฝึกวิชาการต่อสู้ อย่างนั้นเลยนะครับ เพราะว่า มันต้องผ่าน การต่อสู้กับตัวตนของตัวเองเสียก่อน
คนโบราณเคยบอกว่า จิตใจคนเรา นั้นมันดื้อ มีกำลังมาก ต้องปรามด้วย สติ และ เรื่องสติ นี่จะมีสอนเหมือนกันทั้งใน หัวข้อ มารยาท และ ศิลปการต่อสู้

      ใครเคยเรียน หรือ ดูหนังแนวที่มีการต่อสู้ อาจารย์ หรือ ปรมาจารย์ จะสอนเสมอให้ เป็นผู้มีใจอารี ไม่ทำร้ายใครก่อน ฝึกวิชาไว้เพื่อป้องกันตัว พิทักษ์รักษา คนที่เรารัก ขณะที่ ขั้นสูงสุดของการฝึกวิชาในสายเอเชียคือ มีการนั่งสมาธิ เพื่อรู้จักตัวเอง ประมาณนี้ นี่แบบนี้ ต้องมี คำว่า ใช้ สติ แน่ๆ

        การเรียนมารยาทก็เ่ช่นกัน หากเราไม่ใช่คนที่ฝึกสติ สันดานดิบมันจะออกมาครับ นี่ไม่ใช่คนตรง (คนตรงนิยามเป็นอย่างไร อ่านบทความที่ผ่านมาครับผม) แต่เป็นคน ที่ไม่รู้จักขัดเกลาตัวเองต่างหาก คนเราเิกิดมา ไม่ได้เพื่อ มีความสุขแต่กับตัวเอง หรือกับคนใกล้ชิดไม่กี่คน แต่ ต้องดูแลสังคมด้วยในฐานะ สุภาพชน นั่นเอง การจะเป็นสุภาำพชน ได้นั้น ต้องมี สติ เช่นกันครับ และการฝึกตัวเองให้มีมารยาทนั้น ต้องตั้งใจขัดเกลา เพิ่มพูนสติ ไม่ด้อย ไปกว่า การฝึกศิลปะการต่อสู้ครับ หากไม่เชื่อ ลองฝึกเลยครับ
(คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมาก่อนจะเห็นชัดเลย)

           อย่างไรก็ตาม คนที่มีมารยาท มักจะได้รับการยอมรับในสังคม มีความเป็นสุภาพชน และผู้คนมักยกย่อง นับถือ ขอให้คุณมีมันจริงๆ เถอะ ไม่ใชมีบ้าง ไม่มีบ้าง อย่างที่เขาเรียกว่า แอ๊บแบ๊ว คือ แสร้งทำ
แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีมารยาทจริงๆ แบบนี้ไม่ไหวครับ

          คนมีมารยาท มีความเป็นผู้ดีจริงๆ จะเข้า กับวลีที่ว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ครับ ระยะสั้นมากๆ อาจจะยังไม่เห็นผลแต่ระยะปานกลางถึงยาว จงดำรงความมีมารยาทเข้าไว้ รับรอง จะเห็นผลจากชื่อเสียงขจรขจาย จากการพิสูจน์ นานปี

            มารยาทกับเรื่อง บุญกรรม มีความเกี่ยวข้องกันจนแยกออกจากกันไม่ได้ นั่นเพราะ ขณะที่เราทำเราต้องมี สติ ข้อหนึ่งแล้ว เรายังต้อง ระวังตัวเองระดับหนึ่ง มันก็คือ การปฏิบัติธรรมกลายๆ นี่ล่ะครับ ข้อที่ผมชอบนำมากล่าวอ้างคือ สัมมาวายาโม คือ ความเพียรชอบ เป็นหนึ่งในมรรคมีองค์แปด ครับ

        สัมมาวายาโม เป็นอย่างไร ก็คือ การประกอบสิ่งดีให้เพิ่มพูนกับตัวมากๆ จากสิ่งน้อย ไปจนสิ่งใหญ่ๆ ขอให้พากเพียรทำไป ขณะที่ยังต้องประคองรักษาความดีนี้ไว้อย่าให้หนีหายหรือ เสื่อมลง เมื่ออายุมากขึ้น เวลาผ่านไป ความดีงามจะเพิ่มพูนประดับตัว แม้ใครที่ไหนไม่รู้ ฟ้าดินรู้ เรารู้เอง ข้อนี้สิสำคัญ เรารู้ เราจะเกิดความภาคภูมิใจ คล้ายๆ กับ เศรษฐีในทางโลก มีเงินทอง มีชีิวิตสุขสบาย เขาก็ภาคภูมิ แต่ในทางธรรม เราเป็นมหาเศรษฐีความดี มหาเศรษฐีแห่งกุศลธรรม เราก็ภาคภูมิเช่นกัน คนพวกนี้ จะมีความองอาจ ผ่าเผย สีหน้าผ่องใสเป็นนิจ ทนทานต่อ อกุศลธรรม มาร ศัตรู จะแพ้ภัยไปเอง

            ข้อสรุปแรก คือ รักษากุศลธรรมเดิมไว้ให้เพิ่มพูน ไม่บกพร่อง ขณะที่หมั่นสร้าง กุศลธรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมเสมอ ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะอย่าลืม ภพภูมิ ที่ได้เกิดเป็น มนุษย์นั้น แสนยาก นะครับ เกิดเป็นคนแล้ว เร่งสร้างความดีงามเพิ่มเข้ามาใส่ตัวให้มากๆ ครับ ทำให้ได้ทุกวัน ครับ

      ขณะที่แม้เราจะไม่ใช่คนขาวสะอาดเสียเท่าไร แต่ หากเว้นจากอนันตริยกรรม 5 ข้อแล้ว ล้วนจะสามารถบรรลุธรรมะขั้นสูง ของพุทธศาสนาได้ เมื่อมีการบำเพ็ญเพียร ดังนั้น แสดงว่า ในหลักธรรมแล้วเราสามารถที่จะ ขัดเกลาตัวเองให้ ขาวสะอาดได้ อย่างเท่าเทียมกัน หากเราตัดสินใจ ที่จะบำเพ็ญเพียร
แต่เป็นแบบนี้แล้ว จงศรัทธาเสมอว่า เราจะลด ละ เลิก อกุศลใหม่ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก และ ชำระล้าง อกุศลเก่า ของเดิม ที่ทำไปแล้วให้หมดสิ้น โดย การ ลด ละ เลิก เช่นเดียวกัน นั่นเอง

            ข้อสรุปที่สอง คือ การลดละเลิก ระวังไม่ให้อกุศลใหม่ เกิดขึ้นมา ทำให้ได้ทุกวัน จากนั้น ให้ดูว่าอกุศลเดิมอะไร ที่ทำแล้ว เกิดแล้ว ให้ถอยห่าง ลด ละ เลิก ให้หมด นี่คือวิธีที่ควรกระทำ


   จากจข้อสรุปทั้ง 2 ข้อ คือ แนวทางของ มรรค ข้อหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า สัมมาวายาโม ครับ ซึ่งผมซาบซึ้งในธรรมะข้อนี้มาก เนื่องจากเพียงข้อเดียว ก็แทบจะทำให้โลกใบนี้ สงบได้ จากทุกข์ภัยทั้งหลายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าหากทำกันได้ ครบ มรรคมีองค์ 8 ล่ะ โลกของเราจะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน และสำหรับตัวบุคคลล่ะ เขาคนนั้นจะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน?

       นี่คือบทความอีก 1 บทความที่ขอฝากไว้ครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

No comments:

Post a Comment